KEY
POINTS
นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ได้เปิดฉากวิเคราะห์อนาคตเศรษฐกิจไทยบนเวที Special Talk | Next Gen Health Economy: โอกาสใหม่เศรษฐกิจไทย งาน THAILAND’s NEW PROSPECT จัดโดยเนชั่น กรุ๊ป โดยชี้ชัดว่าประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับ "วิกฤตการณ์ที่ใหญ่ที่สุดที่ประเทศจะเคยเจอ" นั่นคือการเข้าสู่สถานะ "Super Aging " อย่างรวดเร็ว
นายจิรายุสระบุว่า สังคมผู้สูงอายุขั้นสุดยอดจะส่งผลให้ในอีก 5 ปีข้างหน้า ประชากรไทยถึง 1 ใน 5 หรือ 20% จะมีอายุเกิน 65 ปี ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศอย่างรุนแรง ตัวเลขที่น่าตกใจคือ ประชากรวัยทำงานจะลดลงจาก 70 ล้านคน เหลือเพียง 33 ล้านคนใน 50 ปีข้างหน้า
3 เสาหลักแห่งความอยู่รอดของ "Next Humans"
ความจำเป็นที่พลเมืองแห่งอนาคต หรือ "The Next Humans" จะต้องเร่งสร้างฐานความรู้ 3 เสาหลัก (3 Pillars) เพื่อเป็นกุญแจสำคัญในการหลุดพ้นจากกับดักนี้:
1. Financial Literacy และ New Finance: นายจิรายุสชี้ว่าความรู้ทางการเงินแบบดั้งเดิมไม่ได้ถูกสอนอย่างเป็นระบบในสถานศึกษาไทย แต่โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุค New Finance, On-Chain Economy และ Tokenization of Everything อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นทักษะใหม่ที่คนไทยต้องอัปเดตอย่างเร่งด่วนเพื่อไม่ให้พลาดโอกาสในเศรษฐกิจยุคใหม่
2. Digital Literacy โดยเฉพาะ AI: เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะไม่เป็นเพียงเครื่องมือเสริม แต่จะกลายเป็น Operating System ของทุกอุตสาหกรรมในอนาคต คาดการณ์ว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า ตำแหน่งงานพื้นฐานของประชากรโลกถึง 1 ใน 3 จะถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ ซึ่งจะนำมาซึ่ง "วิกฤตของแรงงาน" โดยมีอายุ 40 ปี เป็น "อายุเกษียณใหม่" ดังนั้น การใช้ AI และเทคโนโลยีจึงเป็นทางเดียวที่จะช่วยให้กำลังแรงงานที่ลดลงสามารถเพิ่มผลผลิตได้ถึง 2 เท่า
3. Health Literacy (ความรู้ด้านสุขภาพ): เสาหลักด้านสุขภาพถูกชี้ให้เห็นว่าเป็นวิกฤตค่าใช้จ่ายที่กำลังจะแซงหน้าแหล่งรายได้สำคัญของประเทศ นายจิรายุสเผยตัวเลขที่น่าตกใจว่า ค่าใช้จ่ายในการรักษาผู้ป่วย NCD (Non-Communicable Diseases) ในแต่ละปีนั้น มีมูลค่าสูงถึง 20% ของ GDP ซึ่งเท่ากับรายได้ทั้งหมดจากการท่องเที่ยว ดังนั้น การลงทุนในความรู้ด้านสุขภาพจึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ไม่สามารถละเลยได้
นายจิรายุส วิเคราะห์เปรียบเทียบขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน โดยระบุว่า ประเทศไทยไม่สามารถประกาศตัวเป็น "Digital Economy Hub" ได้อย่างเต็มภาคภูมิในปัจจุบัน เนื่องจากยังขาดแคลนบุคลากรด้าน Science and Technology อย่างหนักเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง เช่น เวียดนามที่สามารถผลิตบัณฑิตด้านดิจิทัล ได้ถึง 500,000 คนต่อปี ของไทยผลิตบุคลากรได้หลักหมื่นคน
การวางตำแหน่งให้ประเทศเป็นศูนย์กลางการดูแลสุขภาพในระยะยาวนี้ จะเป็นการดึงดูดกลุ่มผู้มีกำลังซื้อสูงทั่วโลกที่กำลังเข้าสู่สังคมสูงวัย ให้เข้ามาใช้จ่ายในประเทศไทย ซึ่งจะเป็นการพลิกวิกฤตประชากรให้เป็นโอกาสทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนที่สุด