หลังจากจบการศึกษาในปี 2557 ปรมินทร์ อินโสม ได้ทำงานอยู่ซิลิคอนแวลลีย์ ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย และได้พัฒนาเหรียญคริปโตเคอเรนซีที่มีบล็อกเชนเป็นของตัวเอง โดยใช้ชื่อว่าซีคอยน์ (Zcoin) ขึ้นมา หลังจากนั้นเปลี่ยนชื่อเป็น FIRO ซึ่งเป็นผลงานวิทยานิพนธ์ในระหว่างเรียน ในปี 2559 เขาได้รางวัลอินโนเวชั่นอวอร์ดส์ จากการแข่งขันของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ในส่วนของกระดานเทรดสินทรัพย์ดิจิทัล
และได้นำผลงานแข่งขันมาพัฒนาต่อในชื่อ Thai Digital Asset Exchange (TDAX) ต่อมาได้พัฒนาศูนย์กลางให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัล ในชื่อ Satang ภายใต้บริษัท สตางค์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หลังจากนั้น ได้ขายบริษัทดังกล่าวด้วยมูลค่าหลายพันล้านบาทให้กับทางธนาคารกสิกรไทย
ซึ่งหลังจากนั้น “ปรมินทร์ อินโสม” ก็กลับไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกามหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด สาขานโยบายระหว่างประเทศ ล่าสุดหลังจากเรียนจบ “ปรมินทร์ อินโสม” กลับมาสู่วงการคริปโตไทยอีกครั้ง ภายใต้สถานะผู้บริหารมืออาชีพ โดยเป็นซีอีโอ บริษัท นากาโมโตะ แล็บส์ จำกัด ที่มีบริษัท เอสเอเอเอ็ม ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SAAM ถือหุ้นเกือบ 100% พร้อมบทบาทในการขับเคลื่อนธุรกิจใหม่ อย่างผู้ให้บริการเพิ่มสภาพคล่อง (Liquidity Provider) ในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล
โดยเขาระบุว่าเมื่อเราพูดถึงการลงทุนในตลาดคริปโต หลายคนอาจจะคิดถึงการซื้อขายที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงและความไม่แน่นอน แต่ในมุมมองของ”ปรมินทร์ อินโสม” ผู้ที่เคยเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาดนี้ เขากลับมองเห็นโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ให้ดียิ่งขึ้น การทำงานของเขาไม่เพียงแค่ช่วยให้ตลาดคริปโตเติบโต แต่ยังช่วยให้เกิดสภาพคล่องที่สามารถเพิ่มความมั่นคงให้กับตลาดได้
ปรมินทร์ อินโสมเล่าว่า "ตอนแรกผมไม่อยากใช้คำว่า 'Market Maker' เลย เพราะมันดูเหมือนเป็นคำที่เกินตัวสำหรับผม แต่มันเป็นสิ่งที่ผมต้องทำเพราะมันคือการเพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาด ซึ่งช่วยให้การซื้อขายเกิดขึ้นได้อย่างราบรื่นและโปร่งใสมากยิ่งขึ้น" สำหรับเขาแล้ว การที่ตลาดจะทำงานได้ดีไม่ได้หมายถึงแค่การตั้งราคา แต่ยังต้องมีผู้ที่สามารถรับผิดชอบให้ราคาเหล่านั้นสามารถเกิดขึ้นได้จริง
การทำตลาดคริปโตในประเทศไทย
หนึ่งในประสบการณ์ที่ทำให้ปรมินทร์ อินโสม เห็นโอกาสในการเปลี่ยนแปลงคือการที่ตลาดคริปโตในประเทศไทยยังคงไม่เป็นที่ยอมรับอย่างแพร่หลาย เขาเห็นว่ามีช่องว่างในการสร้างระบบการซื้อขายที่มีความโปร่งใสมากขึ้น เขาจึงเริ่มต้นการทำงานในฐานะผู้ให้บริการเพิ่มสภาพคล่อง โดยใช้แนวทางการทำงานที่แตกต่างจากผู้เล่นรายใหญ่ที่มีอยู่ในตลาด "ถ้าคุณไม่สามารถให้สภาพคล่องที่ดีได้ ตลาดก็จะไม่สามารถเติบโตได้" ปรมินทร์กล่าว
กลยุทธ์การเพิ่มสภาพคล่อง
ปรมินทร์ อินโสม อธิบายว่า การเป็นผู้ให้บริการเพิ่มสภาพคล่องนั้นเป็นการที่เขาไม่เพียงแค่ตั้งราคาเพื่อซื้อขาย แต่ยังต้องทำให้ราคานั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามความต้องการของตลาด ด้วยการที่เขามีเงินทุนมากพอที่จะเข้าไปแทรกแซงในช่วงเวลาที่ตลาดมีความผันผวน การทำเช่นนี้ช่วยให้ผู้ซื้อและผู้ขายสามารถทำธุรกรรมได้ง่ายขึ้น แม้ว่าตลาดจะมีความไม่แน่นอนสูงก็ตาม
บทบาทของผู้ให้บริการเพิ่มสภาพคล่อง
"การเป็นผู้ให้บริการเพิ่มสภาพคล่องนั้นทำให้เราเป็นส่วนสำคัญในการทำให้ตลาดมีความสมดุล หากไม่มีเรา การซื้อขายจะเกิดขึ้นได้ยากเพราะไม่มีคนที่ยอมรับราคาในช่วงเวลาที่ตลาดกำลังผันผวน" ปรมินทร์ กล่าวต่อ "เราไม่เพียงแค่ซื้อขายในตลาดเท่านั้น แต่เรายังช่วยปรับสภาพคล่องให้เหมาะสมกับความต้องการของตลาดในขณะนั้น" การทำงานของเขาจึงไม่ใช่แค่การสร้างกำไรจากการซื้อขาย แต่ยังเป็นการช่วยให้ตลาดคริปโตในไทยเติบโตอย่างยั่งยืน
เปิดโมเดลสร้างรายได้
บริการเพิ่มสภาพคล่องในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลจะเป็นการวางสินทรัพย์ทั้งในคริปโตเคอร์เรนซีและเงินบาทในทั้งสองฝั่งของการเทรด โดยจะมีโมเดลการสร้างรายได้จาก 3 แหล่งหลัก คือ 1) ส่วนต่างของราคาซื้อขาย (spread) จากการทำธุรกรรมซื้อขาย 2) ความแตกต่างของราคาในกระดานเทรดที่มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งสามารถซื้อขายได้ในราคาถูกกว่าและขายในราคาที่สูงกว่า และ 3) ค่าธรรมเนียมจากการเทรดบนกระดานซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ราว 0.1-0.2%
แม้ว่าตลาดบริการเพิ่มสภาพคล่องในตลาดคริปโตในประเทศไทยจะยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่ปรมินทร์ อินโสม เห็นว่า ตลาดนี้มีโอกาสเติบโตอย่างมหาศาล เขาไม่เพียงแค่แข่งขันกับตลาดที่มีผู้เล่นใหญ่อยู่แล้ว แต่ยังต้องพัฒนาโมเดลธุรกิจที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานได้อย่างเต็มที่ "ในตลาดไทยตอนนี้มีผู้ให้บริการเพิ่มสภาพคล่องไม่เยอะเท่าที่ควร แต่ในต่างประเทศนั้นมีเยอะมาก ฉะนั้นเราต้องใช้ประสบการณ์และทักษะของเราในการปรับตัวให้เข้ากับตลาดในไทย"