น้ำท่วมใต้ฉุดเศรษฐกิจ 4 หมื่นล้าน ประกันภัยเตรียมตั้งสำรองเพิ่ม รับเคลมบ้าน–รถ–ร้านค้า

15 ธ.ค. 2568 | 00:30 น.

อุทกภัยภาคใต้สร้างความเสียหายกว่า 4 หมื่นล้าน ฉุดท่องเที่ยว–บริการช่วงไฮซีซัน กระทบ GDP ปี 68 และกดภาพรวมสินเชื่อรายย่อย–SME อ่อนแรงปลายปี ประกันภัยเตรียมตั้งสำรองเพิ่ม รับเคลมบ้าน–รถ–ร้านค้า แนวโน้มต้นทุนพุ่งไตรมาส 4/68-1/69

KEY

POINTS

  • น้ำท่วมภาคใต้สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจรวมกว่า 40,000 ล้านบาท โดยภาคการท่องเที่ยวและบริการได้รับผลกระทบหนักที่สุด
  • บริษัทประกันภัยเตรียมรับมือการเคลมสินไหมทดแทนสำหรับที่อยู่อาศัย ร้านค้า และรถยนต์ โดย คปภ. ได้ประสานงานเพื่อช่วยเหลือประชาชนโดยเร็ว
  • ผลกระทบจากอุทกภัยคาดว่าจะทำให้บริษัทประกันภัยมีค่าใช้จ่ายในการเคลมเพิ่มขึ้น และอาจต้องตั้งสำรองหนี้ฯ เพิ่มเติมในช่วงไตรมาส 4/2568 - 1/2569

นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด เปิดเผยกับ 'ฐานเศรษฐกิจ' ว่า ต้องยอมรับว่าสถานการณ์อุทกภัยครั้งล่าสุดในพื้นที่ภาคใต้ที่ผ่านพ้นไปมีความรุนแรงเป็นพิเศษ

ความเสียหายรุนแรงที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ได้สร้างความเสียหายแก่ที่พักอาศัย ธุรกิจและร้านค้า และยานพาหนะของประชาชนโดยตรง ซึ่งหากไม่มีมาตรการช่วยเหลือ อาจกระทบต่อสภาพคล้องของประชาชน การจับจ่ายใช้สอย และความสามารถในการชำระสินเชื่อโดยครงอย่างแน่นอน

ทั้งนี้ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินเบื้องต้นในกรอบระยะเวลา 1 เดือน ผลกระทบน้ำท่วมภาคใต้ 10 จังหวัด ประชาชนได้รับผลกระทบกว่า 2.19 ล้านคน หรือราว 798,600 ครัวเรือน และจะมีความเสียหายรวมกว่า 40,000 ล้านบาท คิดเป็นความเสียหาย 0.22% ต่อ GDP

โดยภาคท่องเที่ยวและบริการมีมูลค่าความเสียหายมากที่สุดสูงถึง 22,000 ล้านบาท เพราะเป็นช่วงไฮซีซันของภาคการท่องเที่ยว ธุรกิจค้าปลีก ร้านอาหารและโรงแรมต้องปิดกิจการชั่วคราว ธุรกิจท้องถิ่นเข้าขั้นโคม่า โดยได้ปรับประมาณการ GDP ไทยปี 2568 ลดลงมาอยู่ที่ 1.9% จาก 2%

แม้การส่งออกเติบโต 11.1% และการลงทุนของภาครัฐ 6.4% แต่ถูกฉุดรั้งด้วยการอุปโภคภาครัฐที่หดตัวแรง และผลกระทบจากน้ำท่วมภาคใต้ช่วงปลายปี

ภาครัฐออกมาตรการช่วยเหลือ เยียวยา และฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้แบ่งเป็น 4 ด้าน ประกอบด้วย

  • มาตรการลดภาระหนี้
  • เพิ่มเงินในกระเป๋าให้ประชาชนและภาคธุรกิจ
  • ลดภาระค่าใช้จ่าย ค่าครองชีพ
  • ด้านอื่นๆ ที่จะทำให้ผู้ประสบภัยกลับมาเข้มแข็งดังเดิม

มาตรการลดภาระหนี้สิน

  1. พักต้น พักดอก : ช่วยเหลือโดยการพักชำระหนี้ พักชำระเงินต้นและยกเว้นดอกเบี้ย ไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อราย เป็นระยะเวลา 12 เดือน ระหว่างพักชำระหนี้ก็ ดอกเบี้ย 0% แล้วธนาคารแห่งประเทศไทยก็ผ่อนเกณฑ์ให้โดยไม่ต้องเป็นหนี้เสีย
  2. สินเชื่อเยียวยา : ลูกหนี้เดิม ภายใต้วงเงินกู้เดิม จะสามารถกู้เพิ่มได้รายละไม่เกิน 100,000 บาท ดอกเบี้ย 0% นาน 12 เดือน 
  3. สินเชื่อฟื้นฟู : ดอกเบี้ย 0% นาน 12 เดือน ไม่เกิน 1 ล้านบาท สถาบันการเงินของรัฐ จะเข้ามาดูแลการฟื้นฟูอาชีพ 

ในส่วนของ ผู้ประกอบการ SME ทางรัฐบาลจะมีสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) ซึ่งจะมีบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ช่วยค้ำประกัน เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถประกอบธุรกิจได้ โดยจะนำรูปแบบสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำใน 3 จังหวัดชายแดนใต้เป็นต้นแบบ

มาตรการ เพิ่มเงินในกระเป๋า

1) เงินเยียวยา 9,000 บาท และจะเร่งเบิกจ่ายให้ประชาชนโดยเร็ว ครัวเรือนละ 9,000 บาท 
2) ขยายวงเงินทดรองราชการเพื่อเอามาใช้จ่ายต่างๆ จังหวัดละ 100 ล้านบาท รวมถึงผ่อนปรนเกณฑ์ และระเบียบในการเบิกจ่ายสำหรับกรณีฉุกเฉิน เพื่อช่วยประชาชนที่เดือดร้อนในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นการจัดครัว จัดอาหาร เพื่อให้ประชาชนได้รับความช่วยเหลือโดยเร็ว
3) ชดเชยสินไหมประกัน ประกอบด้วย 

  • ที่อยู่อาศัย กรมธรรม์ประกันภัย จะจ่ายค่าสินไหมทดแทน ตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง ไม่เกิน 20,000 บาท
  • ร้านค้า ค่าสินไหมทดแทนผู้มีประกัน 30,000 บาท
  • รถยนต์ สามารถเคลมเร็วได้ โดยการถ่ายรูปให้เห็นทะเบียน ระดับน้ำ เพื่อให้ประชาชนสามารถเคลมรถยนต์ได้ทันที ทั้งนี้ ทางคปภ. ได้ประสานบริษัทประกันทั้งหมดเพื่อบูรณาการให้ประชาชนได้รับความช่วยเหลือโดยเร็วแล้ว

4) กระทรวงแรงงานพบกับผู้ประกอบการ รัฐบาลขยายเวลาการนำส่งเงินสมทบของนายจ้าง และผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และมาตรา 39 ในท้องที่ที่ประสบภัยพิบัติ
5) ลูกจ้างจะได้รับการจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน และไม่สามารถทำงานได้ 50% ของค่าจ้าง นานสูงสุดไม่เกิน 180 วัน 

มาตรการลดภาระหนี้สิน

1) ลดภาษี ค่าธรรมเนียม : 

  • ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับซ่อมแซมทรัพย์สิน ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาท
  • ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับซ่อมแซมรถยนต์ ตามที่จ่ายจริงไม่เกิน 30,000 บาท
  • สำหรับผู้ประกอบการ จะหักค่าใช้จ่ายซ่อมแซมทรัพย์สินได้ 2 เท่า สำหรับผู้ประกอบการที่ประสบอุทกภัย 

2) โครงการธงฟ้า : จัดทำโดยกระทรวงพาณิชย์ เพื่อหาสินค้าราคาถูก ลดต้นทุนผู้ประกอบการ และภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของประชาชนในพื้นที่

ผลกระทบน้ำท่วมต่อกลุ่มแบงก์

1) เบื้องต้นทางฝ่ายยังไม่สามารถประเมินผลกระทบที่ชัดเจนได้ แต่น่าจะได้เห็นผลกระทบในผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2568 ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะแตกต่างกันตามพอร์ตสินเชื่อของธนาคาร โดยมองว่าลูกค้ารายย่อย (สินเชื่อเช่าซื้อ สินเชื่อที่อยู่อาศัย และบัตรเครดิต)

และธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) จะได้รับผลกระทบสูงกว่าลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่งมากกว่า อย่างไรก็ดี คาดผลกระทบจากน้ำท่วมไม่ได้ส่งผลกระทบในอย่างมีนัยต่อพื้นฐานของกลุ่มธนาคาร และธนาคารจะสามารถจัดการได้

เพราะในอดีตเคยผ่านเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในหลายพื้นที่มาแล้ว  โดยคาดว่ากำไรสุทธิของกลุ่มธนาคารจะเติบโตราว 5% ในปี 2568 ชะลอตัวจากเติบโต 9% ในปี 2567

2) เศรษฐกิจไทยชะลอตัวลงกระทบการขยายสินเชื่อใหม่ในไตรมาส 4/2568-1/2569 ส่วนหนึ่งจากการบริโภคและการท่องเที่ยวชะลอตัวลงในพื้นที่ภาคใต้ กอปรกับการส่งออกชะลอตัวจากนโยบายภาษีของสหรัฐ คาดว่าสินเชื่อในปี 2568 อาจหดตัวราว 2-3% อย่างไรก็ดี มาตรการช่วยเหลือของภาครัฐจะส่งผลให้สินเชื่อกลับมาเติบโตในปี 2569

3) มาตรการช่วยเหลือ เช่น การพักดอกเบี้ย สินเชื่อฟื้นฟูและสินเชื่อเยียวยา ส่งผลให้รายได้ดอกเบี้ยรับของธนาคารปรับลดลง และกดดันส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ปรับลดลงตามมา 

4) งบดุลอ่อนแอลง แต่จะไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยต่อคุณภาพสินเชื่อ และพื้นฐานของธนาคาร เนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทยผ่อนเกณฑ์สินเชื่อที่ได้รับผลกระทบน้ำท่วมไม่ต้องถูกลดชั้นเป็นหนี้เสีย นอกจากนี้ ธนาคารมีระดับการตั้งสำรองหนี้ฯ สูง และมีการเตรียมพร้อมได้ตั้งสำรองหนี้ฯ ส่วนเกินรองรับความไม่แน่นอนอยู่แล้ว

5) กรณีบริษัทประกันภัย ยังไม่สามารถประเมินผลกระทบได้ แต่แนวโน้มค่าใช้จ่ายทางการเงินจะเพิ่มขึ้นจากการเครมประกัน ทั้งประกันชีวิตที่เน้นคุ้มครองบุคคล (ชีวิต และสุขภาพ) และประกันวินาสภัยที่เน้นคุ้มครองทรัพย์สินและภัยพิบัติต่างๆ (บ้าน รถยนต์ ไฟไหม้ น้ำท่วม) โดยคาดว่าค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่จะสะท้อนในผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2568-1/2569