KEY
POINTS
นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด เปิดเผยกับ 'ฐานเศรษฐกิจ' ว่า ต้องยอมรับว่าสถานการณ์อุทกภัยครั้งล่าสุดในพื้นที่ภาคใต้ที่ผ่านพ้นไปมีความรุนแรงเป็นพิเศษ
ความเสียหายรุนแรงที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ได้สร้างความเสียหายแก่ที่พักอาศัย ธุรกิจและร้านค้า และยานพาหนะของประชาชนโดยตรง ซึ่งหากไม่มีมาตรการช่วยเหลือ อาจกระทบต่อสภาพคล้องของประชาชน การจับจ่ายใช้สอย และความสามารถในการชำระสินเชื่อโดยครงอย่างแน่นอน
ทั้งนี้ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินเบื้องต้นในกรอบระยะเวลา 1 เดือน ผลกระทบน้ำท่วมภาคใต้ 10 จังหวัด ประชาชนได้รับผลกระทบกว่า 2.19 ล้านคน หรือราว 798,600 ครัวเรือน และจะมีความเสียหายรวมกว่า 40,000 ล้านบาท คิดเป็นความเสียหาย 0.22% ต่อ GDP
โดยภาคท่องเที่ยวและบริการมีมูลค่าความเสียหายมากที่สุดสูงถึง 22,000 ล้านบาท เพราะเป็นช่วงไฮซีซันของภาคการท่องเที่ยว ธุรกิจค้าปลีก ร้านอาหารและโรงแรมต้องปิดกิจการชั่วคราว ธุรกิจท้องถิ่นเข้าขั้นโคม่า โดยได้ปรับประมาณการ GDP ไทยปี 2568 ลดลงมาอยู่ที่ 1.9% จาก 2%
แม้การส่งออกเติบโต 11.1% และการลงทุนของภาครัฐ 6.4% แต่ถูกฉุดรั้งด้วยการอุปโภคภาครัฐที่หดตัวแรง และผลกระทบจากน้ำท่วมภาคใต้ช่วงปลายปี
ภาครัฐออกมาตรการช่วยเหลือ เยียวยา และฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้แบ่งเป็น 4 ด้าน ประกอบด้วย
ในส่วนของ ผู้ประกอบการ SME ทางรัฐบาลจะมีสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) ซึ่งจะมีบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ช่วยค้ำประกัน เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถประกอบธุรกิจได้ โดยจะนำรูปแบบสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำใน 3 จังหวัดชายแดนใต้เป็นต้นแบบ
1) เงินเยียวยา 9,000 บาท และจะเร่งเบิกจ่ายให้ประชาชนโดยเร็ว ครัวเรือนละ 9,000 บาท
2) ขยายวงเงินทดรองราชการเพื่อเอามาใช้จ่ายต่างๆ จังหวัดละ 100 ล้านบาท รวมถึงผ่อนปรนเกณฑ์ และระเบียบในการเบิกจ่ายสำหรับกรณีฉุกเฉิน เพื่อช่วยประชาชนที่เดือดร้อนในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นการจัดครัว จัดอาหาร เพื่อให้ประชาชนได้รับความช่วยเหลือโดยเร็ว
3) ชดเชยสินไหมประกัน ประกอบด้วย
4) กระทรวงแรงงานพบกับผู้ประกอบการ รัฐบาลขยายเวลาการนำส่งเงินสมทบของนายจ้าง และผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และมาตรา 39 ในท้องที่ที่ประสบภัยพิบัติ
5) ลูกจ้างจะได้รับการจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน และไม่สามารถทำงานได้ 50% ของค่าจ้าง นานสูงสุดไม่เกิน 180 วัน
1) ลดภาษี ค่าธรรมเนียม :
2) โครงการธงฟ้า : จัดทำโดยกระทรวงพาณิชย์ เพื่อหาสินค้าราคาถูก ลดต้นทุนผู้ประกอบการ และภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของประชาชนในพื้นที่
1) เบื้องต้นทางฝ่ายยังไม่สามารถประเมินผลกระทบที่ชัดเจนได้ แต่น่าจะได้เห็นผลกระทบในผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2568 ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะแตกต่างกันตามพอร์ตสินเชื่อของธนาคาร โดยมองว่าลูกค้ารายย่อย (สินเชื่อเช่าซื้อ สินเชื่อที่อยู่อาศัย และบัตรเครดิต)
และธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) จะได้รับผลกระทบสูงกว่าลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่งมากกว่า อย่างไรก็ดี คาดผลกระทบจากน้ำท่วมไม่ได้ส่งผลกระทบในอย่างมีนัยต่อพื้นฐานของกลุ่มธนาคาร และธนาคารจะสามารถจัดการได้
เพราะในอดีตเคยผ่านเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในหลายพื้นที่มาแล้ว โดยคาดว่ากำไรสุทธิของกลุ่มธนาคารจะเติบโตราว 5% ในปี 2568 ชะลอตัวจากเติบโต 9% ในปี 2567
2) เศรษฐกิจไทยชะลอตัวลงกระทบการขยายสินเชื่อใหม่ในไตรมาส 4/2568-1/2569 ส่วนหนึ่งจากการบริโภคและการท่องเที่ยวชะลอตัวลงในพื้นที่ภาคใต้ กอปรกับการส่งออกชะลอตัวจากนโยบายภาษีของสหรัฐ คาดว่าสินเชื่อในปี 2568 อาจหดตัวราว 2-3% อย่างไรก็ดี มาตรการช่วยเหลือของภาครัฐจะส่งผลให้สินเชื่อกลับมาเติบโตในปี 2569
3) มาตรการช่วยเหลือ เช่น การพักดอกเบี้ย สินเชื่อฟื้นฟูและสินเชื่อเยียวยา ส่งผลให้รายได้ดอกเบี้ยรับของธนาคารปรับลดลง และกดดันส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ปรับลดลงตามมา
4) งบดุลอ่อนแอลง แต่จะไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยต่อคุณภาพสินเชื่อ และพื้นฐานของธนาคาร เนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทยผ่อนเกณฑ์สินเชื่อที่ได้รับผลกระทบน้ำท่วมไม่ต้องถูกลดชั้นเป็นหนี้เสีย นอกจากนี้ ธนาคารมีระดับการตั้งสำรองหนี้ฯ สูง และมีการเตรียมพร้อมได้ตั้งสำรองหนี้ฯ ส่วนเกินรองรับความไม่แน่นอนอยู่แล้ว
5) กรณีบริษัทประกันภัย ยังไม่สามารถประเมินผลกระทบได้ แต่แนวโน้มค่าใช้จ่ายทางการเงินจะเพิ่มขึ้นจากการเครมประกัน ทั้งประกันชีวิตที่เน้นคุ้มครองบุคคล (ชีวิต และสุขภาพ) และประกันวินาสภัยที่เน้นคุ้มครองทรัพย์สินและภัยพิบัติต่างๆ (บ้าน รถยนต์ ไฟไหม้ น้ำท่วม) โดยคาดว่าค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่จะสะท้อนในผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2568-1/2569