KEY
POINTS
ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม - พฤศจิกายน) มีความผันผวนสูง โดยดัชนี SET Index ปรับลดลงถึง 22.2% ช่วงสิ้นเดือนมิถุนายน 2568 ก่อนจะฟื้นตัวขึ้น ล่าสุดดัชนีปรับตัวลดลงประมาณ 10.2% ค่า P/E อยู่ที่ระดับ 11.7 เท่า ซึ่งถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชีย
นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ ‘ฐานเศรษฐกิจ’ ว่า ทิศทางการลงทุนตลาดหุ้นไทยปี 2569 อาจต้องเริ่มที่การเติบโตทางเศรษฐกิจก่อน หลายๆหน่วยงานประเมินว่า เศรษฐกิจไทยอาจขยายตัวได้เพียงเล็กน้อย ในช่วง 1-2% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน
ทั้งนี้ การเติบโตทางเศรษฐกิจถูกจำกัดจากหลายปัจจัยไม่ว่า จะเป็นการบริโภคที่ขยายตัวต่ำระดับราว 2-3% จากก่อนหน้าที่เคยขยายตัวได้ในช่วง 5-6% การส่งออกที่ทรงตัวจากฐานสูงในปีนี้ ส่วนการท่องเที่ยว สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแหา่งชาติ(สศช.) คาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพียง 35 ล้านคน เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน
อย่างไรก็ตาม ยังนับว่า ต่ำกว่าช่วงก่อนเกิด COVID-19 ที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 39.8 ล้านราย แต่อาจมี Upside ที่เหนือกว่าคาดหมายได้ จากการที่จีนขอความร่วมมือประชาชนจีนในการเดินทางไปญี่ปุ่น ซึ่งอาจทำให้นักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทยมากขึ้น ธีมลงทุนหุ้นไทยจะเน้นที่ได้ประโยชน์จากภาครัฐ (เลือกตั้ง กระตุ้นเศรษฐกิจ)
ทั้งนี้ หุ้น Top Pick ของทางฝ่ายที่แนะนำ ได้แก่ CPALL, CPN, SCB ขณะที่กลุ่มท่องเที่ยว เช่น AOT, MINT, CENTEL, กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม AMATA และ WHA ที่ได้รับอานิสงส์จากดีมานด์ของการลงทุนโครงการ Data Center ด้านกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ปี 2569 ไว้ที่ประมาณ 1,050-1,400 (บนสมมติฐาน EPS 95 บาท / หุ้น)
สำหรับตลาดหุ้นต่างประเทศยังคงให้น้ำหนักสหรัฐฯ เป็นอันดับแรกด้วยธีมการลงทุนที่เด่นชัดจากกระแสเทคโนโลยี (Technology) เชื่อว่ากลุ่ม Technology น่าจะไปต่อ โดยเฉพาะหุ้น 7นางฟ้า (7magnificent) ฝั่งผู้ลงทุนอย่าง Alphabet , MS , AWS ส่งสัญญาณชัดเจนแล้วว่า ดีมานด์ Data Center ยังคงเติบโตต่อเนื่อง
สะท้อนจากงบลงทุน (Capex) ที่เร่งขึ้นเรื่อยๆ เพราะการ Training Model AI พัฒนาต่อเนื่อง ทำให้ความต้องการอุปกรณ์จำพวก GPU, Semiconductor จะเติบโตดีกับหุ้นอย่าง NVIDIA, AMD, TSMC รวมไปถึงกลางน้ำอย่าง Alphabet, Microsoft, AWS
โดยหุ้น Top Pick เลือก NVDA03 GOOGL 03 (DR จาก PI) ส่วนกระแส Technology Bubble ยังไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นเร็วๆนี่เพราะ Valuation อาจไม่ถูกแต่ไม่ได้แพงระดับ PE100x พร้อมกับมีการเติบโตของกำไรชัดเจน
ด้านตลาดหลักทรัพย์ฯ ส่งสัญญาณฟื้นตัวปี 2569 เปิดแผนขับเคลื่อน ‘New Economy Fund - TISA - Family Business’ ดันธุรกิจศักยภาพเข้าตลาดง่ายขึ้น ควบคู่แพ็คเกจ BOI-IPO ปลุกมูลค่าซื้อขายกลับมาคึกคัก สร้างเสถียรภาพระยะยาวให้นักลงทุน
ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดทุนไทยในปี 2569 เชื่อว่า น่าจะมีความชัดเจนและดีขึ้น เนื่องจากความไม่แน่นอนจากการเลือกตั้งน่าจะมีความชัดเจนขึ้น
นอกจากนี้ เชื่อว่ารัฐบาลจะมีมาตรการต่างๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นทั้งในแง่ของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย โดยคาดว่าในปีหน้าจะได้เห็นความชัดเจนของโครงการริเริ่มที่สำคัญ อาทิเช่น
1. กองทุนเพื่อธุรกิจเศรษฐกิจใหม่ (New Economy Fund) ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีโครงการที่เรียกว่า ‘New Economy’ โดยแผนงานในเบื้องต้นจะมีการพิจารณาจัดตั้งกองทุนที่จะเข้าไปลงทุนในธุรกิจ New Economy โดยกองทุนนี้จะมีรูปแบบคล้าย Private Equity (PE) และมีเงินทุนเริ่มต้นประมาณ 1,000 ล้านบาท
โดยมีเป้าหมายที่จะนำเอาเงินในกองทุกดังกล่าวไปลงทุนในบริษัทที่มีศักยภาพและมีอนาคต มุ่งเน้นในด้าน อาหาร เทคโนโลยี และ Healthcare ซึ่งมีผู้สนใจเป็นจำนวนมาก และสอดคล้องกับนโยบายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการลงทุนของภาครัฐฯ
หากทำได้ตามเป้าหมายก็จะมีการขยายวงเงินให้เพิ่มเป็นมากกว่า 1,000 ล้านบาท ในอนาคต อย่างไรก็ดี มองว่า การตั้งกองทุนดังกล่าว เพื่อช่วยให้บริษัทกลุ่มนี้สามารถ ‘Skill up/Scale up’ ตามนโยบายของรัฐบาล มีกระแสเงินสดที่ดี สามารถขยายธุรกิจได้ และสามารถระดมทุนเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ในที่สุด
2.บัญชีการลงทุนรายบุคคลเพื่อการเกษียณ Thai Individual Saving Account (TISA) เป็นเรื่องที่สองที่ถูกกล่าวถึง ซึ่งรัฐบาลกำลังพูดคุยกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาอย่างต่อเนื่อง โดยโครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนเริ่มซื้อหุ้นหรือหลักทรัพย์ต่างๆ เพื่อเก็บเงินไว้จนกระทั่งเกษียณอายุและได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้ที่เข้าร่วม
เบื้องต้นคาดว่า ภายในเดือนธันวาคม 2568 นี้ จะได้เห็นความชัดเจนของรายละเอียดที่มากขึ้น อย่างไรก็ตาม มองว่ามาตรการทั้งเรื่องกองทุน New Economy และ TISA นี้ จะช่วยทำให้ตลาดหุ้นไทยกลับมามีความคึกคักยิ่งขึ้นและมีเสถียรภาพมากขึ้น
3.การสนับสนุนธุรกิจครอบครัว (Family Business) ตลาดหลักทรัพย์ฯ พยายามจัดให้ความรู้ให้แก่กลุ่มธุรกิจครอบครัว มีการให้ข้อมูลการดำเนินธุรกิจ ให้คำปรึกษาและช่วยวางแผน โดยมีเป้าหมายที่จะผลักดันให้เหล่า Family Business สามารถนำบริษัทเข้าระดมทุนในตลาดหุ้นได้ต่อไป
ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ฯ กำลังพูดคุยถึงการจัดตั้ง ศูนย์วิจัยเรื่องธุรกิจครอบครัว ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยต่างชาติ เพื่อส่งเสริมและผลักดันธุรกิจที่เป็น Family Business สามารถเติบโตได้และอยู่ได้อย่างยั่งยืน
สำหรับเรื่องของการการเชื่อมโยงกับสำหนังานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(BOI) ตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้ความสนใจในการทำงานร่วมกับ BOI มาอย่างต่อเนื่อง และยังมองการปลดกฎเกณฑ์การเข้าตลาดของบริษัทกลุ่มเป้าหมายให้สามารถเข้าได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องรอให้มีกำไร ซึ่งจะช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถลงทุนในบริษัทใหม่ๆ ที่มีโอกาสในการเจริญเติบโต เบื้องต้นมีการกำหนดเป้าหมายไว้ประมาณ 4-5 บริษัท โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ EV (ยานยนต์ไฟฟ้า)
“ปัจจุบันมีการพูดคุยกับ BOI ตลอดเวลา เพื่อปรับกฎเกณฑ์ โดยจะมีการเชื่อมโยงกันเป็นแพ็คเกจ BOI ก่อน แล้วตามด้วย IPO และสิทธิประโยชน์ต่างๆ เช่น สิทธิประโยชน์ทางภาษี นอกจากนี้ ยังมีการพิจารณานำบริษัทที่ได้ IPO ไปแล้วเข้าสู่การพิจารณาของ BOI ด้วย”ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์กล่าว
เมื่อถามว่าด้วยสภาวะซบเซาของการระดมทุนหุ้น IPO รวมถึงมูลค่าการซื้อขายที่ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญในปี 2568 ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีแนวทางการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้อย่างไร ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์กล่าวว่า เรามีการวางแผนรับมือต่อสถานการณ์ต่างๆ ได้เหมาะสมและทันต่อเหตุการณ์มากขึ้น
ในปี 2569 อาจมีการปรับตัวตามสภาวะและความเหมาะสมต่อไป ส่วนเรื่องมูลค่าการซื้อขายโดยเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นเป็นไม่น้อยกว่า 55,000 ล้านบาทต่อวันได้หรือไม่นั้น ก็อาจต้องขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจโลกและอีกหลายปัจจัยร่วมด้วย
“ยังขอยืนยันว่าตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังคงเดินหน้ารักษาระบบการบริหารจัดการบริษัทจดทะเบียนอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส ตรวจสอบได้ มีความรับผิดชอบ และคำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย
เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับบริษัทจดทะเบียน รวมถึงนักลงทุนร่วมด้วย”ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์กล่าว