KEY
POINTS
บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP รายงานผลประกอบการไตรมาส 3/2568 และ 9 เดือนแรกปี 2568 ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2568 กลุ่มบริษัทบางจาก มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 123,305 ล้านบาท ลดลง -2% จากไตรมาสก่อน และหดตัว -20% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน
ขณะที่ EBITDA ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 10,269 ล้านบาท (>100% จากไตรมาสก่อน, 43% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน) และมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติ (ที่ไม่รวมรายการพิเศษ) 3,186 ล้านบาท (>100% จากไตรมาสก่อน และ >100% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน)
โดยกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน มี EBITDA เพิ่มขึ้นอย่างมาก (>100% จากไตรมาสก่อน) สร้างกระแสเงินสดให้กับกลุ่มบริษัทฯ ได้อย่างมีนัยสำคัญ จากค่าการกลั่นพื้นฐานของกลุ่มบริษัทฯ ที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งอยู่ที่ 7.38 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ได้รับปัจจัยหนุนจาก Crack Spread ของน้ำมันดีเซลและน้ำมันอากาศยาน (กลุ่ม Middle Distillates) ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากปริมาณสต็อกน้ำมันดีเซลในสหรัฐฯ และยุโรปที่อยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ในรอบ 5 ปี การทยอยปิดโรงกลั่นหลายแห่งในทวีปยุโรป และความกังวลด้านอุปทานจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์
ประกอบกับอัตรากำลังการกลั่นเฉลี่ยในไตรมาส 3/2568 อยู่ที่ 264.9 KBD เพิ่มขึ้น 23.3 KBD เทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่โรงกลั่นศรีราชาชะลอการกลั่นเพื่อปรับปรุงหน่วยกลั่นตามแผน อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงมาตรการเพิ่มเติมทางภาษีของ
กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 1,108 ล้านบาท พลิกฟื้นอย่างแข็งแกร่ง ทั้งจากไตรมาสก่อน และเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้กำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 0.80 บาท แม้รายได้จากการขายและบริการจะลดลงเล็กน้อย 2% จากไตรมาสก่อน เหลือ 123,305 ล้านบาท แต่ EBITDA กลับพุ่งทะลุ 10,269 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่า 100% จากไตรมาสก่อน และ 43% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน บ่งชี้ถึงประสิทธิภาพการดำเนินงานที่โดดเด่น
ขณะที่ในช่วง 9 เดือนแรกปี 2568 กลุ่มบริษัทบางจาก มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 383,780 ล้านบาท (-14% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน) EBITDA 26,600 ล้านบาท (-20% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน) และมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติ (ที่ไม่รวมรายการพิเศษ) 6,184 ล้านบาท (43% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน)
ทั้งนี้ จากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากเฉลี่ยที่ 83 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ใน 9 เดือนแรกของปี 2567 เป็น 71 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในรอบ 9 เดือนของปีนี้ อันเนื่องมาจากอุปสงค์ที่ชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจ ความไม่แน่นอนทางการค้า และความขัดแย้งทาง ภูมิรัฐศาสตร์
ในด้านอุปทาน กลุ่ม OPEC+ ตัดสินใจเพิ่มปริมาณการผลิตต่อเนื่องตั้งแต่เดือนเม.ย. 68 เป็นต้นมา ส่งผลกดดัน และสร้างความผันผวนต่อราคาน้ำมันดิบ โดย กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน ได้รับผลกระทบจาก Inventory Loss ที่เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับปีก่อน ตามราคาน้ำมันดิบที่ลดลง
อย่างไรก็ดี แม้ว่า Crack Spread อ่อนตัวลง แต่กลุ่มบริษัทฯ มีค่าการกลั่นพื้นฐาน ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 5.27 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล (จาก 3.80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล) เนื่องจากต้นทุนน้ำมันดิบของกลุ่มบริษัทฯ ซึ่งอ้างอิงกับน้ำมันดิบเดทเบรนท์ เป็นหลักปรับลดลงมากกว่าน้ำมันดิบดูไบในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568
นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทฯ มีกำลังการกลั่นเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเนื่องจากโรงกลั่น พระโขนงไม่มีการปิดซ่อมบำรุงครั้งใหญ่ตามวาระเช่นเดียวกับปีก่อน อันช่วยชดเชยผลกระทบของ Crack Spread ที่อ่อนตัวได้ทั้งหมด กลุ่มธุรกิจการตลาด มีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากยอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงผ่านตลาดอุตสาหกรรม
ขณะที่ค่าการตลาดสุทธิอ่อนตัวลงตาม Inventory Loss ที่เพิ่มขึ้น กลุ่มธุรกิจไฟฟ้าพลังงานสะอาด รับรู้ผลการดำเนินงานที่ลดลง จากผลกระทบของการสิ้นสุด Adder ของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทย และการจำหน่ายโครงการโรงไฟฟ้าพลังงาน แสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่นในเดือนมิ.ย. 2567
อย่างไรก็ดี ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมจากโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซ ธรรมชาติในประเทศสหรัฐอเมริกาที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สามารถชดเชยผลกระทบดังกล่าวได้เกือบทั้งหมด กลุ่มธุรกิจ ผลิตภัณฑ์ชีวภาพ มีการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และสามารถทำกำไรได้ท่ามกลางสภาวะตลาดที่อ่อนตัว
และ กลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ ได้รับผลกระทบจากราคาขายน้ำมันเฉลี่ยที่ปรับลดลงตามราคาในตลาดโลก และปริมาณการ จำหน่ายที่ลดลงเมื่อเทียบกับเมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน โดยหลักจากการจำหน่ายแหล่งผลิต Yme เมื่อปลายปี 2567 ทั้งนี้ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 บริษัทฯ รับรู้ผลกำไรส่วนของบริษัทใหญ่ 663 ล้านบาท (-69% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน) คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.48 บาท