จับชีพจรหุ้นไทยไตรมาส 4/68 ลุ้นแตะ 1340 จุด แรงซื้อขายแตะ 5 หมื่นล้าน

20 ต.ค. 2568 | 01:00 น.

โบรกส่องตลาดหุ้นไทยไตรมาส 4/68 แรงส่ง SET Index เริ่มชะลอตัว ชี้เป้าดัชนีสิ้นปี 68 แตะ 1,275-1,340 จุด ชูหุ้นอิงเศรษฐกิจในประเทศ-ปันผลดี ยังน่าสนใจ พร้อมแนะคงพอร์ตหุ้นไทย 20-30%

KEY

POINTS

  • นักวิเคราะห์คาดการณ์ดัชนีหุ้นไทยไตรมาส 4/68 มีโอกาสแกว่งตัวในกรอบ 1,180 - 1,340 จุด
  • ปัจจัยหนุนมาจากการลดดอกเบี้ยของเฟด มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ และเม็ดเงินลงทุนจากกองทุนประหยัดภาษี
  • คาดว่ามูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันจะฟื้นตัวกลับมาอยู่ที่ระดับ 4.5 - 5.0 หมื่นล้านบาท
  • กลุ่มหุ้นเด่นที่แนะนำลงทุนคือกลุ่มที่อิงเศรษฐกิจในประเทศ (Domestic Play) และกลุ่มหุ้นปันผลสูง (Yield Play)

นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดมุมมองต่อแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 4/2568 ว่า ทางฝ่ายคาดว่าอัตราเร่งการปรับขึ้นของ SET Index จะเริ่มชะลอตัว

เนื่องจากที่ระดับ PER2025-2026 ที่ 14.7 เท่า และ 13.7 เท่า ถือว่าไม่อยู่ในโซนที่ถูก เมื่อเทียบกับ MSCI Emerging Market ที่ 15.3 เท่า และ 13.3 เท่า ตามลำดับ แต่ยังมีโอกาสแกว่ง Sideway to sideway up จากแรงหนุนจาก

  1. การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดอีก 1-2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี กดดัน US Bond Yield และ Dollar Index ให้อ่อนตัวลง หนุนกระแสเงินไหลเข้า Emerging Market โดยเฉพาะกลุ่ม Yield Play เช่น สื่อสาร, โรงไฟฟ้า, ไฟแนนซ์, REIT
  2. มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องของจีน หนุนกลุ่ม China Play เช่น พลังงานและปิโตรเคมี
  3. มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากของรัฐบาลชุดใหม่ และแรงเก็งกำไรการเลือกตั้งที่จะเกิดช่วงต้นปีหน้า หนุนกลุ่ม Domestic Play เช่า ค้าปลีก, ไฟแนนซ์, หุ้นขนาดกลาง-เล็ก
  4. เม็ดเงินลงทุนจากกองทุนประหยัดภาษี Thai ESG หนุนหุ้นที่ได้ SET ESG Rating สูง และกอง REIT & IFF ที่จะได้แรงหนุนจากเม็ดเงินของกองทุนดังกล่าวเป็นครั้งแรก

ทั้งนี้ ทางฝ่ายปรับไปใช้ SET Index Target สิ้นปี 2569 ที่ 1,400 จุด อิงกำไรต่อหุ้นที่ 90 บาท เพิ่มขึ้น 6% เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน และ PER Multiplier ที่ 15.5 เท่า บนสมติฐาน GDP 2569 ที่ 2.0% และคาดสภาพคล่องในการซื้อขายกลับมาฟื้นตัวอยู่ที่ 4.5-5.0 หมื่นล้านบาทต่อวัน

จากที่ลงไปเหลือ 4.2 หมื่นล้านบาทต่อวันในปีนี้ ซึ่งเพียงพอที่จะทำให้ SET Index ซื้อขายบน Valuation ที่ใกล้เคียงภูมิภาคได้ ขณะที่เป้าหมาย SET Index สิ้นปี 2568 นี้ ทางฝ่ายยังคงไว้ที่ 1,275 จุด อิงกำไรต่อหุ้นที่ 85 บาท/หุ้น และ PER Multiplier ที่ 15.0 เท่า

ชูหุ้น Domestic & Yield Play เด่น

ขณะที่ธีมการลงทุนหลักในไตรมาส 4/2568 คือ กลุ่มอิงเศรษฐกิจในประเทศ (Domestic) และปันผล (Yield Play) อิงแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยของเฟด และ กนง. รวมถึงมาตรการกระตุ้นการบริโภค และการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาลชุดใหม่

โดยกลุ่มที่คาดว่าจะ Outperform ตลาด คือ ค้าปลีก, ไฟแนนซ์, สื่อสาร, โรงไฟฟ้า, รับเหมาก่อสร้าง, วัสดุก่อสร้าง, และหุ้นขนาดกลาง-เล็กที่ Valuation ไม่แพง สำหรับหุ้นและ DR แนะนำในไตรมาส 4/2568 คือ ICBC19, AIA19, CPNREIT, FSMART, CPALL, TRUE และ PTT เป็นต้น

ด้านภาพรวมเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (Fund Flow) ในไตรมาส 4/2568 มองเป็นกลาง ทิศทางโดยรวมยังไหลออกสลับไหลเข้าเมื่อมี Story ให้เก็งกำไร แต่อาจมี Hot Money เข้ามาเก็งกำไร Election Rally บ้างในช่วง ไตรมาส 1/2569

ในแง่กลยุทธ์การลงทุน และการปรับพอร์ตในช่วงที่เหลือของปี 2568 นั้น ทางฝ่ายแนะนำเน้น Defensive & Dividend Play เช่น สื่อสาร โรงไฟฟ้า ค้าปลีก อาหารเครื่องดื่ม REIT&IFF น้ำหนักเงินสด 10%, ทองคำ 10%, ตราสารหนี้ 40%, หุ้นต่างประเทศ 20%, หุ้นไทย 20%

ในส่วนประเด็นการปรับปรุงค่าลดหย่อนทางภาษี ตามนโยบายของนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งในปัจจุบัน ค่าลดหย่อนทางภาษีที่กรมสรรพากรให้กับผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้นมีหลายรายการ เม็ดเงินรวมกันทุกรายการกว่า 1 ล้านบาท โดยค่าลดหย่อนเหล่านี้ เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้กรมสรรพากรจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น

มองว่าถ้าเปิดช่องให้ซื้อหุ้นไปลดหย่อนภาษีได้เพิ่มเติม เช่น TISA จะเป็นบวกต่อ SET Index อย่างมีนัยสำคัญ เพราะเป็นมาตรการที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ถ้าทำจริงจะหนุนให้เกิดเม็ดเงินใหม่เข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์

ทองคำผลตอบแทนพุ่ง 50%

นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ประเมินตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 4/2568 ว่า ฝ่ายวิจัยคาดว่าเคลื่อนไหวในกรอบ 1,180 - 1,340 จุด โดยตลาดหุ้นไทยช่วงที่ผ่านมาปรับขึ้น Price In หลากหลายปัจจัยหนุนไปพอสมควรแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความคาดหวังต่อมาตรการกระตุ้นคนละครึ่ง การเจรจาภาษีระหว่างไทยกับสหรัฐฯ การลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) แต่หากมองไปยังข้างหน้าจะพบว่าปัจจัยหนุนเริ่มลดลง เหลือเพียงแต่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ หรือ กนง. จะลดดอกเบี้ยลง 0.25%

เมื่อประกอบกับหุ้นไทยที่เริ่มไม่ถูกเท่าใดนัก (ซื้อขายที่ PE 14 เท่า) ทำให้ Upside ด้านบนอาจจำกัด แต่อย่างไรก็ตาม Downside ก็เชื่อว่าจะไม่ได้ลึกเช่นกัน เพราะประเมินตลาดไม่น่ามีข่าวร้ายอย่างแรงมากดดัน (ยกเว้นว่าต่างประเทศจะมีแรงกดดันอย่างมีนัยยะ) 

ทั้งนี้ หุ้นที่เน้นลงทุน ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก (CPALL CPAXT) ปัจจัยหนุนจากการกระตุ้นของภาครัฐ, หุ้นธนาคารพาณิชย์ (SCB) ชอบที่ปันผลสูงและหุ้นไม่แพง, นิคมอุตสาหกรรม (AMATA WHA) กระแส Data Center ที่ยังหนุน, การเงิน (MTC) ดอกเบี้ยขาลงเป็นปัจจัยหนุน ยังเชื่อว่าประเทศไทยจะไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ย 

ส่วนมุมมองต่อกระแสเงินทุนต่างชาติในช่วงที่เหลือของปี 2568 ฝ่ายวิจัยคาดว่าไม่น่าจะไหลเข้าอย่างมีนัยยะสำคัญเพราะว่าเงินบาทมีทิศทางอ่อนค่าจากการส่งออกที่ลดลง จะกดดันดุลการค้าและเข้าสู่ช่วงปัจจัยฤดูกาลท่องเที่ยว อาจมีนักท่องเที่ยวชาวไทยเดินทางออกนอกประเทศเพิ่มแรงกดดันต่อค่าเงิน อย่างไรก็ตามการเข้ามาระยะสั้นอาจเห็นบ้าง แต่แนวโน้มไม่คาดว่าจะเห็น

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนและการปรับพอร์ตในช่วงไตรมาส 4/2568 นั้น ฝ่ายวิจัยแนะนำหุ้นไทยให้คงสัดส่วนเพียง 25-30% เพราะการเติบโตจำกัดทั้งในเชิงเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ให้เน้นที่หุ้นปันผลเป็นหลัก หุ้นสหรัฐฯ ยังมีความน่าสนใจเน้นสัดส่วน 30% แต่หากหุ้นสหรัฐฯปรับลงมาแนะเพิ่มสัดส่วนเพราะ Trend AI ยังเป็น Mega Trend

ทองคำหากมีอยู่ควรทยอยทำกำไร ด้วยนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน (YTD) ปรับขึ้นมา 50% ตราสารหนี้ 20% เพราะมองดอกเบี้ยโลกยังเป็นขาลง ซึ่งจะดีกับตราสารหนี้ ได้ทั้งไทยและสหรัฐฯ พร้อมแนะถือเงินสดไว้บ้างซัก 20% เพื่อรอจังหวะซื้อกลับแต่เน้นที่หุ้นสหรัฐฯ เช่นเดิม