KEY
POINTS
นายกฤษฎา ประเสริฐสุโข กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC เปิดกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า แผนงานในปี 2569 - 2571 บริษัทยังเดินตามยุทธศาสตร์ Transformation for Future Growth โดยมุ่งเน้นการเติบโตแข็งแกร่งใน 3 กลุ่มธุรกิจหลัก
โดยตั้งเป้าหมายรายได้รวมจะทำได้มากกว่า 20,000 ล้านบาท คาดสร้างรายได้และการเติบโตจากการใช้กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น รักษา EBITDA Margin ใกล้เคียงปัจจุบันราว 4% อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับว่าปี 2568 ยังคงเป็นปีแห่งความท้าทายในเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ส่งผลกระทบในหลายมิติ
รวมถึงมาตรการกีดกันทางการค้าที่ยังคงมีแนวโน้มต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลต่อการจัดการห่วงโซ่อุปทานของสินค้าและบริการสำหรับสินค้าทั่วโลก แม้ว่าจะไม่มีผลกระทบโดยตรงกับบริษัทแต่ก็กดดันกับกลุ่มคู่ค้าต่างประเทศ โดยเฉพาะในตลาดประเทศจีน ญุี่ปุ่น อินเดียว และเกาหลี ซึ่งเป็นคู่ค้าหลัก
นอกจากนี้ ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวต่อเนื่องทั่วโลก ภูมิทัศน์ทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป ความไม่แน่นอนจากนโยบายความยั่งยืนของอเมริกาและยุโรป เช่น EUDR ผนวกกับทั่วโลกมีความตระหนักถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งผลให้บริษัทต้องเร่งหามาตรการเพื่อบริหารจัดการต้นทุน และใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
แต่ด้วยแนวโน้มพฤติกรรมของผู้บริโภคส่วนใหญ่ที่หันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมและสุขภาพมากขึ้น นับเป็นโอกาสของผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ที่จะสามารถตอบสนองความต้องการของโลกได้อย่างยั่งยืน
บริษัทจึงทบทวนโครงการลงทุนสำคัญและการเร่งดำเนินการต่างๆ อย่างระมัดระวัง โดยปรับกลยุทธ์ใหม่เพื่อบรรลุเป้าหมายระยะยาวที่สำคัญ ภายใต้กรอบยุทธ์ศาสตร์ Transformation for Future Growth
ดำเนิน 3 กลยุทธ์หลัก คือ เข้มแข็ง เติบโต ยั่งยืน ปรับเปลี่ยนกลุ่มธุรกิจหลักจากพลังงานชีวภาพ (BioEnergy) ไปสู่เคมีชีวภาพ (BioChemical) ที่ยังมีความต้องการและมีแนวโน้มเติบโตในอนาคต
รวมถึงเร่งแสวงหาผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม (High Value Products) ที่ให้ผลตอบแทนสูงและตอบสนองความต้องการของตลาดเข้ามาเติม เพื่อให้บริษัทรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันและเติบโตอย่างยั่งยืน โดยขับเคลื่อนเชิงกลยุทธ์ด้วย 3 Strategic Focus ได้แก่
1. Portfolio Transformation : Transform BioEnergy to BioChemicals จากสถานการณ์แนวโน้มธุรกิจพลังงานชีวภาพที่ได้รับผลกระทบจากการเข้ามาของ EV Car ทำให้แนวโน้มความต้องการผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ลดลง ส่งผลให้ด้านการตลาดมีการแข่งขันที่สูง รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มพลังงานชีวภาพมีแนวโน้มลดลง
บริษัทจึงมีมาตรการบริหารจัดการต้นทุน ลดค่าใช้จ่าย เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงมีนโยบายปรับโครงสร้างทางธุรกิจของบริษัท โดยมุ่งเน้นการขยายกำลังการผลิตในกลุ่มผลิตภัณฑ์เคมีชีวภาพให้มากยิ่งขึ้น ส่งผลให้คาดว่าภายใน 3 - 5 ปีจากนี้ จะเห็นสัดส่วนเชื้อเพลิงชีวภาพ (BioEnergy) ที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ขณะเดียวกันบริษัทได้เริ่มดำเนินการนำเครื่องจักรอุปกรณ์ที่มีอยู่มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด (Asset Utilization) เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เคมีชีวภาพ และทดลองขายออกสู่ตลาดเรียบร้อยแล้วในปี 2568 ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อการผลิตและขายผลิตภัณฑ์ใหม่ให้เป็นไปตามเป้าหมาย
2. การขยายกำลังการผลิตของธุรกิจเคมีชีวภาพ (Growth in BioChemicals by Capacity Expansion) ภาพรวมธุรกิจเคมีชีวภาพยังมีแนวโน้มเติบโตในอนาคต โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์สำหรับของใช้ในบ้านและของใช้ส่วนตัว (Home and Personal Care Product: HPC)
อีกทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์ดังกล่าวยังให้อัตรากำไรขั้นต้นที่ค่อนข้างดี รวมไปถึงบริษัทยังคงมีความได้เปรียบทั้งในการเป็นผู้ผลิตเพียงรายเดียวในประเทศ
3.การเติบโตไปยังกลุ่มผลิตภัณฑ์ชนิดพิเศษด้วยกลยุทธ์การลงทุนแบบลดการถือครองทรัพย์สิน (Growth in Specialty Platform with Asset Light Strategy) บริษัทเริ่มต้นพัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม (HVP) เพื่อตอบสนองแนวโน้ม Megatrend ด้านสุขภาพและความยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ตลาดและเพิ่มความยั่งยืนทางธุรกิจผ่านกลยุทธ์การลดการถือครองทรัพย์สิน (Asset Light Strategy) เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและสนับสนุนการเติบโตอย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้ บริษัทได้นำแนวคิด Market Focused Business Transformation (MFBT) มาใช้เป็นกรอบในการปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงาน เพื่อรองรับการดำเนินงานด้านการตลาดและการขายที่มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม (HVP) ที่ตอบสนองความต้องการของตลาดอย่างตรงจุด ผ่านการศึกษาและวิเคราะห์ทางการตลาดเชิงลึก เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตและรายได้ใหม่ให้กับบริษัทในระยะยาว
การต่อยอดจากผลิตภัณฑ์เดิมที่มีอยู่ แบ่งออกเป็น 4 แพลตฟอร์ม ได้แก่
โดยตั้งเป้าหมาย EBITDA จากผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง (HVP) และผลิตภัณฑ์ใหม่ ไม่น้อยกว่า 10 - 15% ในปี 2573 ซึ่งบริษัทได้ศึกษาโอกาสพัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง (High Value Products) และผลิตภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน (Sustainable Products) เพื่อเพิ่มรายได้และกำไรให้กับบริษัทในอนาคต
ในปีที่ผ่านมาบริษัทได้มีการขยายผลิตภัณฑ์ Probio Pro Plus+ ในกลุ่มอาหารเสริมภายใต้แบรนด์ “Nutralist” เพิ่มเติมในกลุ่มคลีนิคและโรงพยาบาล นอกจากนี้ ยังได้เริ่มดำเนินการศึกษาวิจัยผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม (HVP) ซึ่งมีการวางตลาดแล้วในปี 2568 จำนวน 2 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์ตัวทำละลายชีวภาพแบรนด์ “BioSovel” และผลิตภัณฑ์สารเพิ่มความชุ่มชื้นกลุ่มเคมีชีวภาพที่เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอาง
พร้อมกันนี้ บริษัทเร่งดำเนินการปรับปรุงกระบวนการผลิตและดำเนินโครงการลงทุน รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2568 ทั้งนี้ โครงการลงทุนสำคัญใช้ระยะเวลาในการศึกษาและก่อสร้างประมาณ 4 ปี การพัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม ใช้ระยะเวลาในการทดลองตลาดและสร้างฐานลูกค้า ประมาณ 3-5 ปี ซึ่งจากแผนกลยุทธ์ดังกล่าว บริษัทจะเติบโตอย่างยั่งยืนและเป็นรูปธรรมได้ในปี 2572 เป็นต้นไป
สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงไตรมาส 3/2568 เชื่อมั่นว่าจะมีอัตราการเติบโตที่ดีกว่าเมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อน และจะดีกว่าเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า แม้ว่าตามปกติแล้วไฮซีซันของธุรกิจจะอยู่ในช่วไตรมาส 4/2568
แต่ด้วยคำสั่งซื้อที่มีเข้ามามากเพื่อรองรับก่อนนโยบาย EUDR ของทั้งสหรัฐฯ และยุโรปจะเริ่มมีผลบังคับใช้ ทำให้ยอดขายในไตรมาส 3/2568 จึงค่อนข้างดี ในขณะที่ไตรมาส 4/2568 อาจต้องรอประเมินสถานการณ์ใหม่อีกครั้ง
จากการ Transformation ธุรกิจ ลดน้ำหนัก BioEnergy ที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่แทบไม่มีกำไรเลย หันไปมุ่งเน้นผลิคภัณฑ์ในกลุ่มธุรกิจเคมีชีวภายและผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มอื่นๆ แทน จะทำให้หลังจากนี้ผลการดำเนินงานของบริษัทจะค่อยดีขึ้นตามลำดับ และคาดว่าในปี 2569 มีลุ้นการพลิกกลับมาทำกำไรได้
ในด้านงบการลงในช่วง 3 - 5 ปีหลังจากนี้นั้น บริษัทยังคงระมัดระวังในการลงทุนมูลค่าสูงๆ อยู่ โดยคาดว่าจะใช้เพียงราว 300 - 400 ล้านบาทต่อปี หลังๆ เพื่อใช้รองรับในการปรับปรุงสายการผลิต เพิ่มเทคโนโลยีใหม่ๆ โดยเฉพาะในสายการผลิตกลุ่ม Green Product
ขณะเดียวกันบริษัทก็ยังเปิดกว้างโอกาสในการลงทุนในธุรกิจที่มีความเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลัก และสามารถต่อยอดธุรกิจที่มีได้ โดยเฉพาะกับคู่ค้าที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ และมีส่วนแบ่งทางตลาดในต่างประเทศที่แข็งแรง แต่อย่างไรก็ดี การลงทุนอาจต้องใช้ระยะเวลา เพราะมีหลายปัจจัยที่ต้องพิจารณาร่วมด้วย