KEY
POINTS
หลายคนมีความฝันและสิ่งที่อยากทำในชีวิต ไม่ว่าจะอยากมีเงินเก็บ ไปเที่ยวต่างประเทศ ซื้อรถ ซื้อบ้าน หรือเรียนต่อ แต่ความฝันเหล่านี้มักสะดุดกลางทาง เพราะเป้าหมายไม่ชัดเจน บางคนตั้งไว้กว้างๆ พอทำจริงกลับล้มเลิกได้ง่าย หรือบางเป้าหมายต้องใช้เงิน แต่พอถึงเวลาก็ไม่พร้อม เพราะไม่ได้วางแผนไว้ล่วงหน้า
ทางลัดที่จะทำให้ความฝันสำเร็จง่ายขึ้น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้ให้คำแนะนำว่า ต้องมีการตั้งเป้าหมายการเงินให้ชัดเจนด้วยหลัก SMART Goal ซึ่งจะช่วยให้เราเห็นเส้นทางที่ต้องเดิน และเตรียมพร้อมเรื่องการเงินไว้ให้พอ
การตั้งเป้าหมายการเงินที่ชัดเจน สำคัญมากต่อการวางแผนการเงินส่วนบุคคล เปรียบเสมือนการออกเดินเรือที่มีทั้งแผนที่และเข็มทิศ คอยบอกทางให้เราเดินไปถึงฝั่งได้อย่างมั่นใจ หากขาดเป้าหมายที่แน่นอน ก็เสี่ยงที่จะใช้เงินไปตามสิ่งยั่วยุรอบตัว และสุดท้ายอาจไปไม่ถึงฝันที่วางไว้
SMART Goal เป็นหลักการตั้งเป้าหมาย โดยมี 5 องค์ประกอบสำคัญ ดังนี้
S = Specific (เฉพาะเจาะจง)
เป้าหมายต้องระบุให้ชัดเจนและเฉพาะเจาะจง ไม่คลุมเครือ เช่น จาก “อยากเก็บเงินเฉยๆ” ตั้งเป้าหมายแบบนี้กว้างเกินไป อาจปรับเป็น “อยากเก็บเงินเพื่อไปเที่ยวต่างประเทศ” สามารถระบุประเทศที่จะไปได้เลย ตั้งเป้าหมายแบบนี้จะเฉพาะเจาะจงกว่าเยอะ รู้ว่าเงินเก็บจะนำไปใช้กับเป้าหมายไหน
M = Measurable (วัดผลได้)
ต้องมีตัวเลขหรือเกณฑ์ชัดเจน ไม่ใช่แค่บอกว่า “เก็บเงินไปเที่ยว 100,000 บาท” แบบกลมๆ เพราะค่าใช้จ่ายจริงอาจสูงกว่านั้น ควรแจกแจงรายละเอียด เช่น ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเดินทาง และค่าช้อปปิ้ง จากนั้นรวมออกมาเป็นยอดรวม วิธีนี้ช่วยให้เห็นความต่างระหว่าง “งบประมาณที่ตั้งไว้” กับ “ค่าใช้จ่ายจริง” และปรับเป้าหมายให้แม่นยำยิ่งขึ้น
A = Achievable (เป็นไปได้)
เป้าหมายไม่ควรสูงเกินไปจนท้อ หรือเล็กเกินไปจนไม่ท้าทาย ต้องอยู่ในขอบเขตที่เป็นไปได้ อาจคำนึงถึงรายได้และความสามารถในการออมเงิน เช่น รายได้ 20,000 บาท จะเก็บเดือนละ 50,000 บาท แบบนี้อาจไม่สมเหตุสมผล เพราะเงินที่ต้องการจะเก็บมากกว่ารายได้ที่ได้รับ
R = Realistic (จับต้องได้)
มีวิธีไปถึงเป้าหมายได้จริง อาจเป็นการเก็บเงินตามจำนวนที่ระบุหรือกำหนดเป็นเปอร์เซ็นต์ของรายได้ เช่น ต้องการเก็บเงินเพื่อไปเที่ยวญี่ปุ่น 10% ของรายได้
T = Time-bound (กำหนดระยะเวลา)
ต้องมีระยะเวลาที่ชัดเจน เช่น ทำเป้าหมายนี้ในอีก 2 ปีข้างหน้า หากเป็นไปได้ระบุเดือนและปีให้ชัดเจน
เมื่อรู้วิธีการตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนด้วยหลัก SMART แล้ว อย่าลืมคำนวณเงินตามเป้าหมายว่า แต่ละเป้าหมายต้องใช้เงินเท่าไหร่ เพื่อจะได้วางแผนเก็บเงินอย่างเหมาะสมและมั่นใจว่าจะไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้จริง
อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญสำหรับการใช้หลัก SMART ในการตั้งเป้าหมายการเงิน นั่นคือ การตั้งเป้าหมายตามระยะเวลา เพื่อจัดลำดับความสำคัญได้ง่ายขึ้น
ระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี เป็นเป้าหมายที่ต้องใช้เงินเร็วและไม่สามารถเสี่ยงได้เลย เช่น
ระยะเวลา 1 - 5 ปี เป็นเป้าหมายที่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่ รับความเสี่ยงได้ปานกลาง เช่น
ระยะเวลา 5 ปีขึ้นไป เป็นเป้าหมายเพื่ออนาคต อาจรับความเสี่ยงได้สูง เช่น
อย่างไรก็ตาม เป้าหมายของเราอาจเปลี่ยนแปลงได้ เช่น เป้าหมายค่าเทอมลูก เดิมเป็นเป้าหมายระยะกลาง แต่เมื่อลูกโตขึ้น เริ่มถึงเวลาเข้าโรงเรียน อาจขยับเป็นเป้าหมายระยะสั้นได้ หรือเมื่อเราใกล้เกษียณ เดิมเป็นเป้าหมายระยะยาว อาจขยับเป็นเป้าหมายระยะกลางหรือระยะสั้นได้
ดังนั้น เราจึงควรติดตามและทบทวนเป้าหมายอย่างน้อยปี 1 ครั้ง เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายในชีวิต
ข้อผิดพลาดการตั้งเป้าหมายการเงิน
การตั้งเป้าหมายด้วยหลัก SMART ช่วยให้แผนการเงินทำตามได้ง่ายขึ้น แต่หลายคนพลาดเพราะรายละเอียดเล็กๆ ที่มองข้ามไป มาลองดูกันว่ามีข้อไหนบ้างที่ควรเลี่ยง
ตั้งเป้าหมายกว้างเกินไป
เช่น “อยากมีเงินเยอะๆ” ตั้งเป้าหมายแบบนี้ไม่ชัดเจน ไม่รู้ว่าต้องเก็บเงินเท่าไร ต้องเก็บเงินให้ได้เมื่อไหร่ และไม่สามารถวัดความคืบหน้าได้ วิธีแก้ คือ ระบุเป้าหมาย ระยะเวลา และวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน
ไม่ได้ติดตามผล
เช่น ตั้งเป้าหมายเก็บเงินสำรองฉุกเฉิน 100,000 บาท ภายใน 12 เดือน แต่ไม่เคยติดตามและทบทวนเลยว่าเก็บเงินไปได้ถึงเท่าไหร่แล้ว วิธีแก้ คือ หาแอปจดบันทึกรายรับรายจ่ายที่ช่วยติดตามสถานะการเงินตามเป้าหมายของเราได้
ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง
ต้องพิจารณาความเป็นไปได้ในการเก็บเงินตามเป้าหมายด้วย เช่น รายได้ 30,000 บาท ต้องการเก็บเงินเรียนต่อ ป.โท เดือนละ 25,000 บาท จะเห็นว่าโอกาสทำได้จริงน้อยมาก วิธีแก้ คือ ปรับวิธีการเก็บเงินให้สอดคล้องกับเป้าหมายมากขึ้น เช่น หารายได้เพิ่ม, ลงทุนเพื่อให้เงินงอกเงย, ขยายระยะเวลาที่ต้องการใช้เงิน เป็นต้น
ไม่มีระยะเวลาที่ชัดเจน
ทำให้เราอาจไม่เห็นความสำคัญละไม่มีตัวเร่งในการทำสิ่งนั้น เช่น อยากเก็บเงินล้านแรก เมื่อไม่มีระยะว่าต้องเงินให้ได้ภายในกี่ปี มีโอกาสที่เราจะเลื่อนเป้าหมายออกไปเรื่อยๆ
การตั้งเป้าหมายการเงินด้วยหลัก SMART ทำให้เป้าหมายชัดเจนมากขึ้นและสิ่งที่อยากทำเป็นจริงได้ เพราะมีทั้งทิศทาง แรงจูงใจ และตัวชี้วัดความก้าวหน้า โดยหลัก SMART เน้นให้เป้าหมายเฉพาะเจาะจง วัดผลได้ เป็นไปได้จริง จับต้องได้ และมีกรอบเวลาแน่นอน
อีกทั้ง ควรจัดลำดับเป้าหมายตามระยะเวลา ได้แก่ ระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อวางแผนการเงินได้อย่างเหมาะสม และทบทวนเป็นประจำทุกปี
แหล่งที่มา : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)