แนะวิธี SMART Goal ทำอย่างไรตั้งเป้าหมายการเงินให้สำเร็จ

05 ต.ค. 2568 | 00:00 น.

ความฝันไม่ต้องสะดุดกลางทาง! ตลท. แนะนำหลัก SMART Goal วิธีตั้งเป้าหมายการเงินแบบเฉียบคม วัดผลได้จริง ช่วยนักลงทุนและคนรุ่นใหม่สร้างเส้นทางสู่ความมั่นคงทั้งระยะสั้น กลาง และยาว

KEY

POINTS

  • หลักการ SMART Goal ช่วยให้การตั้งเป้าหมายทางการเงินสำเร็จได้ โดยเป้าหมายต้องมีความเฉพาะเจาะจง (S), วัดผลได้เป็นตัวเลข (M), ทำได้จริง (A), สมเหตุสมผล (R), และมีกรอบเวลาที่ชัดเจน (T)
  • การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยสร้างแรงจูงใจในการออม ทำให้รู้ว่าต้องเก็บเงินเพื่ออะไร เป็นจำนวนเท่าไหร่ และสามารถวัดความก้าวหน้าได้
  • ควรจัดลำดับความสำคัญของเป้าหมายโดยแบ่งตามระยะเวลา คือ ระยะสั้น (ไม่เกิน 1 ปี), ระยะกลาง (1-5 ปี), และระยะยาว (5 ปีขึ้นไป) เพื่อวางแผนการเงินให้เหมาะสม

หลายคนมีความฝันและสิ่งที่อยากทำในชีวิต ไม่ว่าจะอยากมีเงินเก็บ ไปเที่ยวต่างประเทศ ซื้อรถ ซื้อบ้าน หรือเรียนต่อ แต่ความฝันเหล่านี้มักสะดุดกลางทาง เพราะเป้าหมายไม่ชัดเจน บางคนตั้งไว้กว้างๆ พอทำจริงกลับล้มเลิกได้ง่าย หรือบางเป้าหมายต้องใช้เงิน แต่พอถึงเวลาก็ไม่พร้อม เพราะไม่ได้วางแผนไว้ล่วงหน้า

ทางลัดที่จะทำให้ความฝันสำเร็จง่ายขึ้น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้ให้คำแนะนำว่า ต้องมีการตั้งเป้าหมายการเงินให้ชัดเจนด้วยหลัก SMART Goal ซึ่งจะช่วยให้เราเห็นเส้นทางที่ต้องเดิน และเตรียมพร้อมเรื่องการเงินไว้ให้พอ

ทำไมการตั้งเป้าหมายการเงินถึงสำคัญ

การตั้งเป้าหมายการเงินที่ชัดเจน สำคัญมากต่อการวางแผนการเงินส่วนบุคคล เปรียบเสมือนการออกเดินเรือที่มีทั้งแผนที่และเข็มทิศ คอยบอกทางให้เราเดินไปถึงฝั่งได้อย่างมั่นใจ หากขาดเป้าหมายที่แน่นอน ก็เสี่ยงที่จะใช้เงินไปตามสิ่งยั่วยุรอบตัว และสุดท้ายอาจไปไม่ถึงฝันที่วางไว้

  • โฟกัสชัดเจน : รู้ว่าต้องเก็บเงินไปเพื่ออะไร ต้องเก็บเงินเท่าไหร่ เช่น เก็บเงินสำรองฉุกเฉิน, เงินดาวน์บ้าน, เก็บเงินเกษียณ
  • สร้างแรงจูงใจ : เมื่อเป้าหมายมีความหมายกับเรา จะช่วยผลักดันให้เก็บเงินอย่างต่อเนื่อง
  • วัดความก้าวหน้าได้ : เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เราเก็บเงินไปถึงไหนแล้ว เมื่อเทียบกับเป้าหมาย หรือต้องปรับแผนอย่างไร

หลัก SMART Goal คืออะไร?

SMART Goal เป็นหลักการตั้งเป้าหมาย โดยมี 5 องค์ประกอบสำคัญ ดังนี้

S = Specific (เฉพาะเจาะจง)
เป้าหมายต้องระบุให้ชัดเจนและเฉพาะเจาะจง ไม่คลุมเครือ เช่น จาก “อยากเก็บเงินเฉยๆ” ตั้งเป้าหมายแบบนี้กว้างเกินไป อาจปรับเป็น “อยากเก็บเงินเพื่อไปเที่ยวต่างประเทศ” สามารถระบุประเทศที่จะไปได้เลย  ตั้งเป้าหมายแบบนี้จะเฉพาะเจาะจงกว่าเยอะ รู้ว่าเงินเก็บจะนำไปใช้กับเป้าหมายไหน

M = Measurable (วัดผลได้)
ต้องมีตัวเลขหรือเกณฑ์ชัดเจน ไม่ใช่แค่บอกว่า “เก็บเงินไปเที่ยว 100,000 บาท” แบบกลมๆ เพราะค่าใช้จ่ายจริงอาจสูงกว่านั้น ควรแจกแจงรายละเอียด เช่น ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเดินทาง และค่าช้อปปิ้ง จากนั้นรวมออกมาเป็นยอดรวม วิธีนี้ช่วยให้เห็นความต่างระหว่าง “งบประมาณที่ตั้งไว้” กับ “ค่าใช้จ่ายจริง” และปรับเป้าหมายให้แม่นยำยิ่งขึ้น

A = Achievable (เป็นไปได้)
เป้าหมายไม่ควรสูงเกินไปจนท้อ หรือเล็กเกินไปจนไม่ท้าทาย ต้องอยู่ในขอบเขตที่เป็นไปได้ อาจคำนึงถึงรายได้และความสามารถในการออมเงิน เช่น รายได้ 20,000 บาท จะเก็บเดือนละ 50,000 บาท แบบนี้อาจไม่สมเหตุสมผล เพราะเงินที่ต้องการจะเก็บมากกว่ารายได้ที่ได้รับ

R = Realistic (จับต้องได้)
มีวิธีไปถึงเป้าหมายได้จริง อาจเป็นการเก็บเงินตามจำนวนที่ระบุหรือกำหนดเป็นเปอร์เซ็นต์ของรายได้ เช่น ต้องการเก็บเงินเพื่อไปเที่ยวญี่ปุ่น 10% ของรายได้

T = Time-bound (กำหนดระยะเวลา)
ต้องมีระยะเวลาที่ชัดเจน เช่น ทำเป้าหมายนี้ในอีก 2 ปีข้างหน้า หากเป็นไปได้ระบุเดือนและปีให้ชัดเจน

แนะวิธี SMART Goal ทำอย่างไรตั้งเป้าหมายการเงินให้สำเร็จ

เมื่อรู้วิธีการตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนด้วยหลัก SMART แล้ว อย่าลืมคำนวณเงินตามเป้าหมายว่า แต่ละเป้าหมายต้องใช้เงินเท่าไหร่ เพื่อจะได้วางแผนเก็บเงินอย่างเหมาะสมและมั่นใจว่าจะไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้จริง

อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญสำหรับการใช้หลัก SMART ในการตั้งเป้าหมายการเงิน นั่นคือ การตั้งเป้าหมายตามระยะเวลา เพื่อจัดลำดับความสำคัญได้ง่ายขึ้น

การตั้งเป้าหมายการเงินระยะสั้น

ระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี เป็นเป้าหมายที่ต้องใช้เงินเร็วและไม่สามารถเสี่ยงได้เลย เช่น

  • เงินสำรองฉุกเฉิน : 100,000 บาท ภายใน 12 เดือน
  • เที่ยวต่างประเทศ : 50,000 บาท ภายใน 6 เดือน
  • ค่าอาหารสัตว์ : 5,000 บาท ภายใน 3 เดือน

การตั้งเป้าหมายการเงินระยะกลาง

ระยะเวลา 1 - 5 ปี เป็นเป้าหมายที่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่ รับความเสี่ยงได้ปานกลาง เช่น

  • เก็บเงินดาวน์บ้าน : 500,000 บาท ภายใน 3 ปี
  • ซื้อรถคันใหม่ : 400,000 บาท ภายใน 4 ปี
  • ค่าเทอมลูก : 300,000 บาท ภายใน 5 ปี

การตั้งเป้าหมายการเงินระยะยาว

ระยะเวลา 5 ปีขึ้นไป เป็นเป้าหมายเพื่ออนาคต อาจรับความเสี่ยงได้สูง เช่น

  • การเกษียณอายุ : 20 ล้านบาท ภายใน 25 ปี
  • วางแผนมรดก : 5 ล้าน ภายใน 10 ปี

อย่างไรก็ตาม เป้าหมายของเราอาจเปลี่ยนแปลงได้ เช่น เป้าหมายค่าเทอมลูก เดิมเป็นเป้าหมายระยะกลาง แต่เมื่อลูกโตขึ้น เริ่มถึงเวลาเข้าโรงเรียน อาจขยับเป็นเป้าหมายระยะสั้นได้ หรือเมื่อเราใกล้เกษียณ เดิมเป็นเป้าหมายระยะยาว อาจขยับเป็นเป้าหมายระยะกลางหรือระยะสั้นได้

ดังนั้น เราจึงควรติดตามและทบทวนเป้าหมายอย่างน้อยปี 1 ครั้ง เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายในชีวิต

ข้อผิดพลาดการตั้งเป้าหมายการเงิน
การตั้งเป้าหมายด้วยหลัก SMART ช่วยให้แผนการเงินทำตามได้ง่ายขึ้น แต่หลายคนพลาดเพราะรายละเอียดเล็กๆ ที่มองข้ามไป มาลองดูกันว่ามีข้อไหนบ้างที่ควรเลี่ยง

ตั้งเป้าหมายกว้างเกินไป
เช่น “อยากมีเงินเยอะๆ” ตั้งเป้าหมายแบบนี้ไม่ชัดเจน ไม่รู้ว่าต้องเก็บเงินเท่าไร ต้องเก็บเงินให้ได้เมื่อไหร่ และไม่สามารถวัดความคืบหน้าได้ วิธีแก้ คือ ระบุเป้าหมาย ระยะเวลา และวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน

ไม่ได้ติดตามผล
เช่น ตั้งเป้าหมายเก็บเงินสำรองฉุกเฉิน 100,000 บาท ภายใน 12 เดือน แต่ไม่เคยติดตามและทบทวนเลยว่าเก็บเงินไปได้ถึงเท่าไหร่แล้ว วิธีแก้ คือ หาแอปจดบันทึกรายรับรายจ่ายที่ช่วยติดตามสถานะการเงินตามเป้าหมายของเราได้

ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง
ต้องพิจารณาความเป็นไปได้ในการเก็บเงินตามเป้าหมายด้วย เช่น รายได้ 30,000 บาท ต้องการเก็บเงินเรียนต่อ ป.โท เดือนละ 25,000 บาท จะเห็นว่าโอกาสทำได้จริงน้อยมาก วิธีแก้ คือ ปรับวิธีการเก็บเงินให้สอดคล้องกับเป้าหมายมากขึ้น เช่น หารายได้เพิ่ม, ลงทุนเพื่อให้เงินงอกเงย, ขยายระยะเวลาที่ต้องการใช้เงิน เป็นต้น

ไม่มีระยะเวลาที่ชัดเจน
ทำให้เราอาจไม่เห็นความสำคัญละไม่มีตัวเร่งในการทำสิ่งนั้น เช่น อยากเก็บเงินล้านแรก เมื่อไม่มีระยะว่าต้องเงินให้ได้ภายในกี่ปี มีโอกาสที่เราจะเลื่อนเป้าหมายออกไปเรื่อยๆ  

สรุปวิธีการตั้งเป้าหมายทางการเงิน

การตั้งเป้าหมายการเงินด้วยหลัก SMART ทำให้เป้าหมายชัดเจนมากขึ้นและสิ่งที่อยากทำเป็นจริงได้ เพราะมีทั้งทิศทาง แรงจูงใจ และตัวชี้วัดความก้าวหน้า โดยหลัก SMART เน้นให้เป้าหมายเฉพาะเจาะจง วัดผลได้ เป็นไปได้จริง จับต้องได้ และมีกรอบเวลาแน่นอน

อีกทั้ง ควรจัดลำดับเป้าหมายตามระยะเวลา ได้แก่ ระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อวางแผนการเงินได้อย่างเหมาะสม และทบทวนเป็นประจำทุกปี

 

 

แหล่งที่มา : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)