จากกรณีที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้รับความเห็นชอบบุคคลในสภาผู้แทนราษฎรลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของไทย ด้วยคะแนนเสียงโหวตสูงสุด ทำให้เหล่านโยบายของพรรคภูมิใจไทยกลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้งว่าการเดินหน้าในระยะเวลา 4 เดือนจากนี้ จะช่วยหนุนเศรษฐกิจไทย และหุ้นกลุ่มใดจะได้อานิสงส์เชิงบวกบ้าง
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยกับ 'ฐานเศรษฐกิจ' ว่า นโยบายเหล่านี้ต้องพิจารณาอีกครั้งตอนรัฐบาลแถลงนโยบาย โดยนโยบายที่ภูมิใจไทยเคยหาเสียงไว้ และมีโอกาสทำได้เลย เช่น พักหนี้ เป็นบวกต่อไฟแนนซ์และค้าปลีก, รถเมล์ไฟฟ้า เป็นบวกต่อ NEX, EA, และเพิ่มรายได้ อสม. เป็นบวกต่อค้าปลีก, เครื่องดื่ม, และ FSMART
นอกจากนี้ หากการลงทุนโครงการก่อสร้างตามนโยบายพรรคภูมิใจไทยสามารถเดินหน้าได้จริง ก็มองว่าจะเข้ามาช่วยหนุนหุ้นก่อสร้าง อาทิ STECON, CK, SCC และ TASCO ได้รับอานิสงส์
ขณะเดียวกันจากนโยบายการพักหนี้ 3 ปี มองว่าจะส่งอานิสงค์เชิงบวกต่อกลุ่มไฟแนนซ์ได้ด้วย ได้แก่ MTC, SAWAD และ TIDLOR เป็นต้น
ในส่วนโครงการ 'คนละครึ่ง' ที่จะนำกลับมาอีกครั้งนั้น มองว่ามีส่วนที่เข้ามาช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจในระยะสั้นได้ แต่ไไม่ได้เปลี่ยนแปลงพื้นฐานอย่างมีนัยสำคัญ โดยมองว่ากระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยจะช่วยหนุนกลุ่มค้าปลีกค้าส่ง อาทิ CPAXT, BJC และ TNP
ทั้งนี้ เมื่อถามว่ามองการมีนายกฯ ระยะสั้น 4 เดือน จะเดินหน้านโยบายให้เป็นจริงได้มากน้อยแค่ไหน และจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจ และ GDP ไทยได้เพิ่มหรือไม่นั้น คาดว่ารัฐบาลอายุสั้น (4 เดือน) จะเป็นการเน้นแก้รัฐธรรมนูญ, แก้ปัญหาชายแดน, และกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากมองกว่า ดังนั้นจึงคาดว่าจะช่วยประคอง GDP ได้ แต่ไม่น่าจะหนุนให้ GDP เร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับประเด็นเรื่องการยุบสภาฯ เพื่อเลือกตั้งใหม่นั้น คาดว่าจะเกิดขึ้นต้นปีหน้า (2569) เป็นปัจจัยที่ตลาดคาดไว้แล้ว อาจมีผลกระทบต่อการเบิกจ่ายงบประมาณในช่วงไตรมาส 2/2569 อยู่บ้าง แต่คาดว่าไม่กระทบต่อเศรษฐกิจทั้งปีอย่างมีนัยสำคัญ เพราะคาดว่าจะเห็นการกลับมาเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่อยู่ดี
อย่างไรก็ตาม จากปัญหาทางการเมืองที่คลี่คลายไปในทิศทางที่มีความชัดเจนมากขึ้น ทำให้ประเมินกรอบดัชนี SET Index ในช่วงเดือนกันยายน 2568 ไว้ระดับแนวรับ 1,230 - 1,240 และกรอบแนวต้าน 1,280 - 1,300 จุด
นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) เปิดมุมมองกับ 'ฐานเศรษฐกิจ' ว่า นโยบายพรรคภูมิใจไทยยังไม่มีประกาศอย่างชัดเจน แต่นายกรัฐมนตรีระบุว่าจะเน้นการลดค่าครองชีพประกอบไปด้วยลดค่าเดินทาง ค่าพลังงาน ค่าเดินทาง ค่าขนส่ง พร้อมกับเผยว่าอาจนำนโยบายคนละครึ่งกลับมาดำเนินการ
ปัจจุบันนั้นยังไม่เป็นแน่ชัดว่าจะมีเม็ดเงินมาสนับสนุนประชาชนเท่าใด สำหรับโครงการคนละครึ่งในรอบนายกฯตู่พบว่ามีผลต่อ Upside GDP ราว 0.3% แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบเปรียบกับรอบนี้ คงยังต้องรอติดตามว่าเม็ดเงินจะมีมูลค่าเท่าใด
ทั้งนี้ ประเมินว่าโครงการคนละครึ่งจะช่วยผู้ประกอบการระดับกลาง - ล่าง ได้เป็นอย่างดีและหนุนผู้ประกอบการรายใหญ่อีกทีอย่าง CPAXT, CPALL แม้รัฐบาลชุดนี้จะมีอายุเพียง 4 เดือนและทำให้หลายคนอาจประเมินว่าไม่มีผลอะไรมากนัก
แต่หากพิจารณาให้ดีจะพบว่านี่คือช่วงหาเสียงที่ดีที่สุดก่อนการเลือกตั้งสมัยหน้า นโยบายต่างๆ จึงมีความเป็นไปได้ที่จะออกมากระหน่ำเพื่อเตรียมสานต่อในสมัยหน้า ส่วนนโยบายอื่นๆ ยังไม่มีแถลงอย่างชัดเจน
รวมไปถึงขอความร่วมมือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการดูแลปัญหาหนี้สินของครัวเรือน อาทิ ลดดอกเบี้ยหรือตั้งกองทุนเพื่อการดูแลลูกหนี้โดยเฉพาะ (ซื้อหนี้มาบริหาร) หากเกิดขึ้นก็จะช่วยหนุนการบริโภคและเศรษฐกิจให้ดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ประเมินกรอบดัชนี SET Index สิ้นปี 2568 ไว้ที่ 1,220 - 1,350 ส่วนการยุบสภาไม่คาดว่าจะมีผลอย่างมีนัยยะกับเศรษฐกิจเพราะรัฐบาลชุดเดิมยังรักษาการไว้ก่อนจนกระทั่งได้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารต่อ หากได้รัฐบาลชุดเดิมนโยบายต่างๆก็จะได้สานต่อไม่ยาก