ตลท. ย้ำการเมืองชัดเจน คือจุดเปลี่ยนสำคัญ หนุนเศรษฐกิจ-การลงทุนไทย

04 ก.ย. 2568 | 10:29 น.
อัปเดตล่าสุด :04 ก.ย. 2568 | 10:29 น.

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ชี้ความชัดเจนทางการเมืองไทยกำลังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญต่อเศรษฐกิจและตลาดทุน นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศต่างจับตาผลโหวตนายกฯ คนใหม่ 5 ก.ย. หากบรรลุฉลุย เชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยมีแรงส่งต่อ

KEY

POINTS

  • ความชัดเจนทางการเมืองหลังได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนและกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการเบิกจ่ายงบประมาณต้องไม่ติดขัด
  • นักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติให้ความสำคัญกับความต่อเนื่องและการผลักดันโครงการลงทุนต่างๆ ของภาครัฐให้เกิดขึ้นจริง มากกว่าความผันผวนทางการเมือง
  • ตลท. คาดหวังทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ที่มีความเข้าใจตลาดทุน และพร้อมเสนอนโยบายเพื่อช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เช่น โครงการ Jump+

นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า จากประเด็นความไม่แน่นอนทางการเมืองไทยในปัจจุบัน มองว่าเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่บรรลุผลสำเร็จไปได้ด้วยดี ก็จะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ รวมถึงตลาดทุนไทย

เนื่องจากเศรษฐกิจไทยสามารถเดินหน้าได้ต่อ เชื่อว่าหลังจากนี้รัฐบาลชุดใหม่จะเร่งคลอดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆ ส่งท้ายปี สร้างความเชื่อมั่นในการลงทุน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเรื่องการการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 'ต้องไม่ติดขัด'

นักลงทุนชอบความชัดเจนทางการเมือง คาดหวังว่าจะได้นายกฯ คนใหม่ พร้อมนโยบายที่มีความชัดเจนมากขึ้น อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ฯ มีการพูดคุยกับนักลงทุนต่างชาติอย่างต่อเนื่อง และคำตอบที่ได้คือนักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่ค่อนข้างคุ้นเคยกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของไทย และไม่ใช่เรื่องที่ไม่แปลกใหม่ แต่สิ่งสำคัญคือผลสำเร็จของโครงสร้างลงทุนต่างๆ ตามนโยบายภาครัฐมากกว่า

โดยจากการพบปะพูดคุยกับนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศในช่วงที่ผ่านมา กลับพบว่านักลงทุนส่วนใหญ่ค่อนข้างคุ้นเคยการเปลี่ยนแปลง ถือเป็นเรื่องที่ไม่แปลกใหม่ แต่สิ่งที่นักลงทุนต้องการเห็นคือ ภาพการลงทุนโครงการต่างๆ ที่ชัดเจน การนำเสนอไปก่อนหน้านี้การตอบรับดี แต่จะสามารถเกิดขึ้นจริงเมื่อไหร่ นี่คือสิ่งที่นักลงทุนให้ความสนใจมากกว่า

เมื่อถามว่าอยากได้ทีมเศรษฐกิจใหม่แบบไหนมาดูแลหลังจากนี้ แน่นอนว่าย่อมต้องการผู้ที่มีความรู้ ความเข้าใจเศรษฐกิจและตลาดทุนเป็นอย่างดี เพราะตลาดทุนไทยไม่เพียงเป็นทางผ่านของการระดมทุนเท่านั้น แต่ยังเป็นอีกเครื่องยนต์สำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และยังสามารถช่วยภาครัฐในการระดมทุนโปรเจ็กต์ต่างๆ ได้อีกด้วย

พร้อมกันนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ พร้อมเสนอนโยบายที่ผลักดันก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะโครงการจั๊มพ์ พลัส (Jump+) ต่อ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่พิจารณา เนื่องด้วยเชื่อมั่นว่าเป็นโครงการที่สร้างการเติบโตที่ดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมและบริษัทจดทะเบียน ซึ่งล่าสุดมีบริษัทจดทะเบียนไทยเข้าสมัครรวม 35 บริษัท ถือเป็นสัญญาณที่ดีและมีโอกาสขยายตัวต่อเนื่อง

สำหรับโครงการ G-TOKEN จะเกิดขึ้นหรือไม่นั้น เบื้องต้นยังไม่มีความคืบหน้าที่ชัดเจน คงต้องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่พิจารณาต่อไป เช่นเดียวกันกับโครงการ Bond Connect แพลตฟอร์มซื้อขายพันธบัตรรัฐบาล

อย่างไรก็ดี หากสถานการณ์การเมืองที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ (5 ก.ย.68) เกิดความผันผวน ตลาดหลักทรัพย์ฯมีเครื่องมือที่พร้อมจะตั้งรับได้ และมั่นใจว่ายังเอาอยู่ และมองว่าแม้สถานการณ์ความชัดเจนทางการเมืองในวันพรุ่งนี้จะพลิกล็อก ก็จะไม่กระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทย เชื่อว่านักลงทุนมองพื้นฐานเป็นหลัก