จากการศึกษาข้อมูลการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศ ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) จากข้อมูลการปิดสมุดทะเบียนเพื่อประชุมสามัญประจำปีผู้ถือหุ้น / เพื่อจ่ายเงินปันผล รวมถึงข้อมูล Corporate Actions และข้อมูลการระดมทุนผ่านตลาดรองของบริษัทจดทะเบียน (บจ.)
โดยใช้ข้อมูลล่าสุดถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2568 จำนวน 854 บริษัท มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมกว่า 13.43 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 97.89% ของมูลค่าหลักทรัพย์รวมทั้งตลาด (Total Market Capitalization)
ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2568 นักลงทุนต่างประเทศมีมูลค่าการถือครองหุ้นในตลาดหุ้นไทยรวม 4.43 ล้านล้านบาท คิดเป็น 32.99% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมทั้งตลาด ขณะที่ ณ สิ้นปี 2567 นักลงทุนต่างประเทศถือครองหุ้นของบริษัทจดทะเบียน 868 หลักทรัพย์ มีมูลค่าการถือครองหุ้นรวม 5.84 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 33.82% ของมูลค่าหลักทรัพย์รวมทั้งตลาด
เมื่อเปรียบเทียบมูลค่าการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2568 เทียบกับ ณ สิ้นปี 2567 พบว่า มีมูลค่าการถือครองหุ้นลดลง 1.41 ล้านล้านบาท หรือลดลง 24.13% โดยมีสาเหตุหลักมาจาก
ทั้งนี้ ในเดือนกรกฎาคม 2568 ราคาหลักทรัพย์ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ดัชนีราคาหมวดธุรกิจ ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2568 ปรับเพิ่มขึ้นทุกหมวดธุรกิจจากสิ้นเดือนมิถุนายน 2568 และนักลงทุนต่างประเทศกลับมาซื้อสุทธิในเดือนกรกฎาคม 2568 ด้วยมูลค่าซื้อสุทธิรวมกว่า 16,121.19 ล้านบาท ซึ่งเป็นการกลับมาซื้อสุทธิในรอบ 10 เดือน นับตั้งแต่เดือนกันยายน 2567
เมื่อพิจารณามูลค่าถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศในตลาดหุ้นไทย จำแนกตามกลุ่มอุตสาหกรรม 9 อุตสาหกรรม (นับตลาดเอ็ม เอ ไอ เป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรม) ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2568 เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2567 พบว่า นักลงทุนต่างประเทศมีมูลค่าการถือครองหุ้นลดลงทุกกลุ่มอุตสาหกรรมตามราคาหลักทรัพย์ที่ลดลง
โดยอุตสาหกรรมที่มีการถือครองสูงสุด 3 อันดับแรก ยังคงเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมเดิม คือ กลุ่มเทคโนโลยีที่ยังคงมีมูลค่าการถือครองหุ้นสูงสุด รองลงมา คือ กลุ่มธุรกิจการเงิน และอันดับที่ 3 คือ กลุ่มบริการ ตามลำดับ ซึ่งทั้ง 3 อุตสาหกรรมดังกล่าวมีมูลค่าการถือครองหุ้นรวม 3.34 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 75.39% ของมูลค่าการถือครองหุ้นรวมของนักลงทุนต่างประเทศ
กลุ่มเทคโนโลยี ยังคงเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่นักลงทุนต่างประเทศมีมูลค่าการถือครองหุ้นสูงสุด ด้วยมูลค่ารวม 1,852,713 ล้านบาท ลดลง 841,378 ล้านบาท หรือลดลง 31.23% จากสิ้นปี 2567 โดยมีสาเหตุจากราคาหลักทรัพย์ที่ลดลงของบจ. สังเกตได้จากดัชนีราคาของกลุ่มเทคโนโลยีที่ลดลง 22.41% จากปีก่อน
อันดับที่ 2 คือ กลุ่มธุรกิจการเงิน มีมูลค่าการถือครองหุ้นรวม 887,434 ล้านบาท ลดลง 96,488 ล้านบาท หรือลดลง 9.81% จากสิ้นปี 2567 โดยมีสาเหตุจากราคาหลักทรัพย์ที่ลดลงของบจ. สังเกตได้จากดัชนีราคาของกลุ่มธุรกิจการเงินที่ลดลง 10.91% จากปีก่อน
อันดับที่ 3 คือ กลุ่มบริการ มีมูลค่าการถือครองหุ้นรวม 598,729 ล้านบาท ลดลง 242,237 ล้านบาท หรือลดลง 28.80% จากสิ้นปี 2567 สาเหตุหลักจากราคาหลักทรัพย์ที่ลดลงของบจ. สังเกตได้จากดัชนีราคาของกลุ่มบริการที่ลดลงมากที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่นๆ ที่ระดับ 32.58% จากสิ้นปีก่อน ที่สำคัญจากการราคาหลักทรัพย์ของบจ. ที่อยู่ในหมวดบริการเฉพาะกิจ หมวดขนส่งและโลจิสติกส์ ที่ดัชนีราคาหมวดธุรกิจเหล่านี้ลดลงกว่า 40% จากสิ้นปี 2567
มูลค่าการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศจำแนกตามหมวดธุรกิจของตลาดหุ้นไทย จำนวน 27 หมวด (รวมตลาด mai เป็นหนึ่งหมวดธุรกิจ) พบว่า หมวดธุรกิจที่นักลงทุนต่างประเทศถือครองหุ้นสูงสุด 3 อันดับแรก ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2568 ได้แก่ หมวดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (ETRON) หมวดธนาคาร (BANK) และหมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT)
โดยทั้งมีมูลค่าการถือครองหุ้นของ 3 หมวดธุรกิจข้างต้นรวม 2.61 ล้านล้านบาท คิดเป็น 58.97% ของมูลค่าการถือครองหุ้นรวมของนักลงทุนต่างประเทศ
หมวดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (ETRON) มีมูลค่าการถือครองหุ้นสูงสุด 1,217,241 ล้านบาท คิดเป็น 27.48% ของมูลค่าการถือครองหุ้นรวมของนักลงทุนต่างประเทศ รองลงมา คือ หมวดธนาคาร (BANK) มีมูลค่าการถือครองหุ้นรวม 758,959 ล้านบาท คิดเป็น 17.14% และอันดับที่ 3 ได้แก่ หมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) มูลค่าการถือครองหุ้นรวม 635,472 ล้านบาท คิดเป็น 14.35%
จากรายชื่อหลักทรัพย์ที่นักลงทุนต่างประเทศถือครองหุ้น ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2568 เปรียบเทียบกับรายชื่อองค์ประกอบของ MSCI Thailand Index จำนวน 21 บริษัท พบว่า นักลงทุนต่างประเทศถือครองทุกหลักทรัพย์ที่เป็นองค์ประกอบดัชนีดังกล่าว มีมูลค่าการถือครองหุ้นรวม 3.23 ล้านล้านบาท คิดเป็น 72.9% ของมูลค่าการถือครองหุ้นรวมของนักลงทุนต่างประเทศ
ซึ่งมีสัดส่วนลดลงจาก ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2567 เนื่องจากบจ. ขนาดใหญ่บางบริษัทในตลาดหุ้นไทยไม่ได้เป็นองค์ประกอบดัชนี ในช่วงเวลาที่ทำการศึกษา ส่งผลให้นักลงทุนต่างประเทศที่มีกลยุทธ์การลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนตามดัชนีอ้างอิง (tracking index strategy) ขายหุ้น หรืออาจยังคงถือหุ้นอยู่แต่หุ้นกลุ่มนี้จัดเป็นกลุ่มที่ไม่ได้เป็นองค์ประกอบดัชนี และขณะทำการศึกษาและราคาหุ้นนั้นๆ ปรับตัวลดลง ซึ่งประเด็นต่างๆ เหล่านี้ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ ระบุว่า จะต้องศึกษาข้อมูลเชิงลึกต่อไป
จากข้อมูลการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2568 พบว่า มีนักลงทุนต่างประเทศจำนวน 124 สัญชาติถือครองหุ้นในตลาดหุ้นไทย เพิ่มขึ้นสุทธิ 2 สัญชาติจากปีที่ผ่านมา โดยนักลงทุนต่างประเทศที่มีมูลค่าการถือครองหุ้นสูงสุด 10 สัญชาติ มีมูลค่าถือครองหุ้นรวม 4.30 ล้านล้านบาท คิดเป็น 97.1% ของมูลค่าการถือครองหุ้นทั้งหมดของนักลงทุนต่างประเทศ
ที่มูลค่าการถือครองหุ้นส่วนใหญ่เป็นการถือครองหุ้นของบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ที่เป็นองค์ประกอบดัชนีอ้างอิงต่างประเทศ (International Benchmarking Index) และพบว่า 3 สัญชาติแรก มีมูลค่าการถือครองหุ้นรวมสูงถึง 67.2% ของมูลค่าการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศทั้งหมดในตลาดหุ้นไทย
จากภาพรวมมูลค่าการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศจำแนกตามสัญชาตินักลงทุน พบว่า นักลงทุน 10 สัญชาติแรกที่มีมูลค่าการถือครองหุ้นรวมสูงสุด ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2568 ยังคงเป็นนักลงทุนสัญชาติเดียวกับปีที่ผ่านมา และทั้งหมดอยู่ในอันดับเดียวกับปีที่ผ่านมา สรุปได้ดังนี้