จากกรณีที่ “ทริสเรทติ้ง” ได้ประกาศลดอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ชโย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CHAYO ลงสู่ระดับ “BB” จากเดิมที่ระดับ “BB+” พร้อมทั้งกำหนดเครดิตพินิจแนวโน้ม “Negative” หรือ “ลบ” ให้แก่อันดับเครดิตของบริษัท
การปรับลดอันดับเครดิตและการประกาศเครดิตพินิจครั้งนี้ สะท้อนถึงสถานะสภาพคล่องที่ตึงตัวของบริษัทและความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในการบริหารจัดการภาระหนี้ที่จะครบกำหนดในระยะอันใกล้นี้ การตัดสินใจของทริสเรทติ้งสืบเนื่องมาจากการที่ บมจ. ชโย กรุ๊ป ได้แจ้งขอขยายระยะเวลาครบกำหนดของหุ้นกู้ทั้งหมด 5 ชุด
นายสุขสันต์ ยศะสินธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชโย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CHAYO เปิดเผยว่า แผนการขยายระยะเวลาหุ้นกู้ทั้ง 5 รุ่น ได้แก่ CHAYO25NA, CHAYO263A, CHAYO26OA, CHAYO273A และ CHAYO279A คิดเป็นมูลค่าคงค้างรวมราว 3,932.90 ล้านบาท หรือคิดเป็น 40.43% ของสินทรัพย์รวม
ซึ่งยังไม่ครบกำหนดไถ่ถอนออกไปอีก 2 ปีนั้น ไม่ได้เกิดจากปัญหาพื้นฐานธุรกิจ แต่เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ในการบริหารความเสี่ยงล่วงหน้า รองรับสภาวะเศรษฐกิจและตลาดหุ้นกู้ที่ไม่เอื้ออำนวย ทำให้การออกหุ้นกู้ใหม่เพื่อทดแทนหุ้นกู้เดิม (Rollover) ทำได้ยาก
ขณะเดียวกันการขายสินทรัพย์หรือหลักประกันของหนี้มีหลักประกันทำได้ยากขึ้นตามสถานการณ์เศรษฐกิจ รวมถึงสภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบัน และเป็นการลดความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการผิดนัดชำระ ซึ่งจะทำให้มูลค่าสินทรัพย์ลดลง และผู้ถือหุ้นจะเสียผลประโยชน์มากกว่า
"โดยแผนใหม่นี้บริษัทจะเพิ่มอัตราดอกเบี้ยให้ผู้ถือหุ้นกู้แต่ละรุ่นอีก 0.125% ต่อปี จากเดิมที่เฉลี่ยราว 6-6.4% ต่อปี เพื่อชดเชยการขยายระยะเวลาชำระ และเสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ถือหุ้น สอดคล้องกับเป้าหมายในการบริหารกระแสเงินสดให้มีประสิทธิภาพอย่างยั่งยืน และเพื่อให้บริษัทสามารถชำระคืนเงินต้นให้ได้ครบถ้วนตามจำนวน"
ทั้งนี้ หุ้นกู้ทั้ง 5 ชุดดังกล่าว มีมูลค่าคงค้างรวมประมาณ 3,932.90 ล้านบาท ประกอบด้วย
โดยแผนงานในครั้งนี้หากบริษัทสามารถเลื่อนการจ่ายหุ้นกู้ออกไปได้า 2 ปี บริษัทเตรียมเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอีก 0.125% และเมื่อถึงกำหนดครบชำระหุ้นกู้แต่ละชุด บริษัทฯ จะจ่ายเงินต้นขั้นต่ำคืนอีกไม่น้อนกว่า 10% ของมูลค่าหุ้นกู้ดังกล่าว ทั้งนี้ บริษัทจะจัดการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ทั้ง 5 รุ่นในคราวเดียว ในวันที่ 29 ก.ค. 68 นี้
สำหรับแผนงานนำเงินมาชำระหนี้นั้น เบื้องต้นมีแนวทางขายหลักประกันที่บริษัทมีอยู่ซึ่งเป็นขนาดใหญ่ประมาณ 3 แห่ง ได้แก่ หลักประกันบริเวณเกาะยาวใหญ่ รวม 260 ไร่ ในจังหวัดพังงา เบื้องต้นบริษัทคาดว่าภายในสิ้นปี 68 จะสามารถดำเนินการกับกรมบังคับคดี เพื่อออกใบอนุญาตน.ส.3
หลังจากนั้นจะทำการรวมแปลงและจัดสรรแบ่งแปลงใหม่เพื่อรอขายในอนาคต ซึ่งมีส่วนหนึ่งจะแบ่งจำหน่ายให้ผู้ประกอบการด้านอสังหาริมทรัพย์ อาทิ โรงแรม พูลวิลล่า เป็นต้น โดยลัษณะการขายอาจเป็นการขายขาดหรือการร่วมทุน (JV) แล้วแต่เงื่อนไขที่เหมาะสม
ส่วนหลักประกันอีก 2 แห่งที่คาดว่าจะสามารถจำหน่ายได้เพื่อนำเงินมาใช้คืนหุ้นกู้ได้แก่ สนามกอล์ฟ รวมทะเลสาบ และที่ดินในบริเวณใกล้เคียงรวมกว่า 1,500 ไร่, ที่ดินในเชียงใหม่ โดยมูลค่าหลักประกันทั้ง 3 แห่งนี้คาดว่าจะสามารถจำหน่ายได้มูลค่ารวมประมาณเกือบ 3,000 ล้านบาท
ปัจจุบัน CHAYO มีสินทรัพย์รวมกว่า 9,726 ล้านบาท โดยมีพอร์ตบริหารหนี้ในมือกว่า 104,920 ล้านบาท ซึ่งแม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังเผชิญกับการชะลอตัวของกำลังซื้อ แต่ CHAYO ยังคงบริหารพอร์ตหนี้ได้อย่างมีคุณภาพ รักษาประสิทธิภาพการจัดเก็บหนี้ ควบคุมคุณภาพลูกหนี้อย่างรัดกุม
เพื่อรักษาระดับ ECL ให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ซึ่งยังคงเป้าหมายรายได้ปี 68 เติบโตไม่น้อยกว่า 20% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 2,027 ล้านบาทตามแผนที่วางไว้ โดยในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทใช้เงินจำนวน 100 ล้านบาท เพื่อซื้อมูลหนี้แบบไม่มีหลักประกันเติมพอร์ตได้เพิ่มแล้วประมาณ 1,800 ล้านบาท จากเป้าหมายทั้งปีราว 3,000 - 4,000 ล้านบาท