นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ผลสำรวจในเดือนมิถุนายน 2568 (สำรวจระหว่างวันที่ 20-30 มิถุนายน 2568) พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index: ICI) ในอีก 3 เดือนข้างหน้าปรับกลับสู่เกณฑ์ “ซบเซา” ที่ระดับ 58.45
โดยนักลงทุนมองว่าการคงอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) เป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด รองลงมาคือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และความชัดเจนของสถานการณ์การเมืองในประเทศ
ในขณะที่ปัจจัยฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ รองลงมาคือ สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ และ การไหลออกของเงินทุน
ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) สำรวจในเดือนมิถุนายน 2568 ได้ผล สำรวจโดยสรุป ดังนี้
ผลสำรวจ ณ เดือนมิถุนายน 2568 รายกลุ่มนักลงทุนพบว่าความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนบุคคล ปรับลด 14.2% อยู่ที่ระดับ 50.70 กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ปรับลด 61.9% อยู่ที่ระดับ 28.57 กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศ ปรับลด 42.1% อยู่ที่ระดับ 63.64 และกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศปรับลด 55.6% อยู่ที่ระดับ 66.67
ในเดือนมิถุนายน 2568 ตลาดทุนไทยเผชิญความผันผวนอย่างหนักจากทั้งประเด็นความขัดแย้งระหว่าง ประเทศอิหร่านและอิสราเอล ความขัดแย้งชายแดนระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา รวมถึงสถานการณ์ทางการเมืองใน ประเทศ ซึ่งส่งผลต่อความกังวลของนักลงทุนต่อเสถียรภาพของรัฐบาล
ในขณะที่ผลการประชุม FED มีมติคงอัตรา ดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 4.25% - 4.50% และกนง. มีมติคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.75% ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ โดย SET Index ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2568 ปิดที่ 1,089.56 ปรับตัวลดลง 5.19% จากเดือนก่อนหน้า ปริมาณซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 39,663 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 7,941 ล้านบาท ตั้งแต่ต้นปี 2568 นักลงทุน ต่างชาติขายสุทธิรวม 78,690 ล้านบาท
ปัจจัยต่างประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ ผลการเจรจาข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้า สถานการณ์ ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ซึ่งส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันและอาจขยายวงผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก ในส่วนของ
ปัจจัยในประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ ความคืบหน้าการเจรจาการค้าระหว่างไทย-สหรัฐ เสถียรภาพของรัฐบาลที่ เปราะบางหลังศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องไว้พิจารณาและมีคำสั่งให้นายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2568
ที่จะเป็นอุปสรรคต่อการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจที่สำคัญ และส่งผลกระทบต่อการวางแผนระยะยาวในการ ลงทุนของภาคเอกชน รวมถึงแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี จากการส่งออกสินค้าที่ลดลง และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ