นายเทิดศักดิ์ ทวีธีรธรรม กรรมการบริหาร บล. เอเชีย พลัส จำกัด กล่าวในงานสัมนา "Thailand Investment Forum 2025: Great Depression พลิกเกมฝ่าวิกฤติ" จัดโดย กรุงเทพธุรกิจ ฐานเศรษฐกิจ และโพสต์ทูเดย์ ในหัวข้อ "ส่องดัชนีหุ้นไทย 5 หุ้นเด่น" ว่า ตลาดหุ้นไทยถึงจุดที่ไม่ควรลงไปต่ำกว่า 1,060 จุดแล้ว
เพราะระดับดังกล่าวเกิดขึ้นในวันที่ทรัมป์ประกาศผลเรื่องที่ประเทศไทยโดยเก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 36% อย่างไรก็ดี หากพูดถึงสถานการณ์สงครามการค้า เชื่อว่าคงไม่กดดันดัชนีลงไปต่ำกว่านี้อีกแล้ว เพราะที่ผ่านมาดัชนีถูกสะท้อนไปหมดแล้ว และหากว่าหลุดระดับดงักล่าวก็มีโอกาสที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยอาจลงไปลึกกว่านี้อีก
ขณะที่การลงทุนหุ้นนั้น มองว่าการเลือกเป็นกลุ่มก็ใช้ว่าจะดีเพราะแต่ละตัวก็มีปัจจัยเฉพาะตัว ไม่ได้หมายความว่าจะรอดทั้งหมด ดังนั้นเวลาเลือกหุ้นจึงไม่ควรจำกัด ต้องเลือก เงินปันผล (Dividend) สูง การประเมินมูลค่า (Valuation) ในเชิงลึก หรืออีกนัยหนึ่งคือมีสติรี่เป้นของตัวเอง ตลอดจนการซื้อหุ้นคืน
"คำแนะนำในการลงทุนหุ้นในในระยะนี้ มองว่าการตั้งข้อกำหนดให้ฉ่ำที่สุดย่อมมีประโยชน์ เช่น ให้ปันผลสูง มีสติรี่ของตัวเอง อยู่ในช่วงที่ธุรกิจเริ่มมีการฟื้นตัว มีการรับซื้อหุ้นคืน สิ่งเหล่านี้จะเป็นการกรองหุ้นออกมา ซึ่งก็เป็นโอกาสของผู้ซื้อ"
นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.พาย กล่าวว่า ประเมินกรอบดัชนีตลาดหุ้นไทยแนวรับไว้ที่ 1,050 - 1,060 จุด เป็นกรอบที่ไม่ควรหลุดจากนี้ไป ขณะที่กรอบบนวางไว้ที่ระดับ 1,230 จุด ปัจจัยที่มีผลกดดันยังคงเป็นเรื่องของเศรษฐกิจโลด สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับนานาประเทศโดยเฉพาะกับจีน
ทั้งนี้ มองว่าที่ผ่านมาจีนมีการปรับตัวที่ค่อนข้างมาก ยิ่งพอเห็นว่าทรัมป์กลับมา ก็วางหมากล้อมไว้ทั่วโลก ที่ทำอยู่ในปัจจุบันเป็นเพียงการยื้อเท่านั้น เพราะรู้อยู่แล้วว่าการมาในรอบนี้ของทรัมป์ต้องมาแรงกว่ารอบก่อนหน้า จีนจึงเตรียมพร้อม กระตุ้ยการบริโภคและการใช้จ่ายในประเทศ รวมถึงการกระจายสินค้าและการผลิตส่งออกต่างประเทศ
ส่วนประเทศไทย ทางฝ่ายคาดการณ์ GDP ครึ่งหลังปี 68 นี้ อยู่ที่ 1.2% และอย่างแย่ที่สุด ต่ำ 1% โดยคาดว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้แบงก์ชาติมีโอกาสที่จะปรับลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม หากครึ่งปีหลัง GDP ต่ำ 1% ก็อาจมีได้เห็นลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ทำให้กลุ่มธนาคารอาจได้รับผลกระทบ แต่มองว่าด้วยการจ่ายปันผลที่สูงยังช่วยดึงความน่าสนใจให้กลุ่มแบงก์ได้อยู่ อีกทั้ง P/E ค่อนข้างต่ำ
5 หุ้นเด่น บล.พาย
- ADVANC น่าสนใจ เนื่องจาก ARPU ที่ดีขึ้น การแข่งขันในอุตสาหกรรมลดลง เพราะเหลือแค่ 2 ราย คือ ADVANC และ TRUE โดยมีอัตราการจ่ายปันผลที่ระดับ 4% แม้ ROE จะยังคงอยู่ในระดับสูง ประเมินราคาเป้าหมาย 368 บาท
- BDMS ประเมินราคาเป้าหมาย 26.00 บาท ด้วยเครือข่ายแข็งแกร่ง เรื่องของการรักษาพยาบาลเป็นเรื่องที่จำเป็น แม้การท่องเที่ยวอาจมีผลบ้าง แต่เชื่อว่าผลกระทบน้อยกว่า BH โดยยังคงมีอัตราการเติบโตระดับเฉลี่ยกว่า 8% ซึ่งก็ยังอยู่ในระดับกลางๆ
- CPALL จากเครือข่ายแข็งแรง เป้าหมายการเปิดสาขากว่า 800-1,000 สาขา/ปี อัตราการเติบโตที่ระดับ 8-10% อีกทั้งกำไรยังทำนิวไฮมาตลอด มียอดขายต่อสาขาเดิม (SSSG) ที่ยังสร้างการเติบโตได้ดี จึงเป็นหุ้นอีกตัวที่มีความน่าสนใจ ประเมินราคาเป้าหมาย 80.00 บาท
- KTB แม้ว่าหุ้นกลุ่มแบงก์ในปี 68 อาจไม่ได้เติบโตเยอะเหมือนที่ผ่านมา แต่ไม่ติดลบมากมายจนน่ากังวลใจ จากนี้ก็ต้องดูที่ว่าใครจะคุมหนี้ได้ดีกว่ากัน เพราะภาพเศรษฐกิจไทยไม่ได้เป็นบวกเท่าไหร่ โดย KTB ดูผลงานที่ผ่านมา NPL นิ่งมาก คุณภาพสินทรัพย์ค่อนข้างดี ประเมินราคาเป้าหมาย 24.50 บาท อย่างไรก็ดี ในช่วงครึ่งหลังปี 68 ยังมีความท้าทายอยู่จากโอกาสที่แบงก์ชาติอาจหั่นดอกเบี้ยเพิ่ม
- ตัวสุดท้าย AMATA มีเป้าหมายสร้างยอดขายที่ 3 พันไร่ ก็อาจมีข้อจำกัดเรื่องการเจรจรา ด้วยสภาพบรรยาการการลงทุนที่ยังไม่ความไม่แน่นอนจากสงครามการค้า แต่จากการประชุมนักวิเคราะห์ที่ผ่านมามียอดขายไปแล้วราว 750 ไร่ อีกทั้งยังมีการเซ็นสัญญาซื้อขายไปบ้างแล้วบางส่วน พร้อมกันนี้ยังเชื่อว่าดาต้าเซ็นเตอร์จะเป็นตัวหนุน AMATA เพราะไม่ว่าอย่างไรเทรนด์นี้ก็ยังต้องมา อัตราเติบโต 10% P/E 5 เท่า ประเมินราคาเป้าหมาย 33.60 บาท
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ลิเบอเรเตอร์ จำกัด กล่าวว่า ปัจจัยในประเทศยังมี Downside ข้างหลัง ทั้งเรื่องการเมือง ตัวเลขทางเศรษฐกิจหลายตัวเริ่มช็อต ดังนั้นกลยุทธ์การเลือกหุ้นอิงตามเศรษฐกิจจะดีกว่า โดยเฉพาะกลุ่ม ICT ยิ่งถ้าเทรนด์กำไรดี จ่ายปันผลดี ก็ยังเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ
โดยหน้าหุ้นที่เป็นผู้นำกลุ่ม มีสายป่านยาวกว่า นอกจากนี้ยังต้องเลือก Sector ที่ยังพอยืนอยู่ได้ ระยะสั้นภาพรวมตัวที่เหลือรอดส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นไซส์ใหญ่ๆ ก่อน อีกทั้ง เชื่อว่าในช่วงครึ่งหลังปี 68 นี้ กองทุนไม่กล้ากระจายเม็ดเงินลงทุนไปยังหุ้นกลุ่มขนาดกลางและเล็กมากนัก ดังนั้นความคล่องตัวในการลงทุนเริ่มลดลง คงเหลือแค่หุ้นตัวใหญ่ๆ ที่ยังพอไปได้
5 หุ้นเด่น บล.ลิเบอเรเตอร์
- ตัวแรกที่มองว่ามีความน่าสนใจและอยู่ในหวด ICT คือ ADVANC โดยผลงานในไตรมาส 1/68 ทำได้ดี ARPU ปรับตัวขึ้น ผู้ใช้งานดีขึ้น ผู้เล่นใสอุตสาหกรรมเหลือ 2 ราย ไม่ต้องแข่งขันกันรุนแรงเหมือนที่ผ่านมาแล้ว อีกทั้งในช่วงเดือนปลายมิ.ย. มีการประมูลคลื่นความถี่ใหม่ เชื่อว่าราคาจะไม่ร้อนแรเหมืนอในอดีต ทำให้สามารถเกลี่ยกับต้นทุนเก่าที่สูงได้กว่าพันล้าน ประเมินราคาเป้าหมายที่ 320.00 บาท
- GULF สัญญาณไตรมาส 1/68 ผลงานทำนิวไฮ ขณะที่ไตรมาส 2/68 เชื่อว่าจะยังยืนได้ต่อ มีแรงบวกจาก INTUCH เข้ามาเสริม งบจบได้สวย ภาพรวมครึ่งหลังยังมีสตอรี่ดาต้าเซ็นเตอร์เฟสแรก
- แม้ภาพรวมการท่องเที่ยวไทยข่าวค่อนข้างหนัก ตัวเลขนักท่องเที่ยวไม่เข้าเป้าหมาย ทัวร์จีนหายไปกว่าครึ่ง แต่เชื่อว่ายอดการใช้จ่ายไม่น่าต่ำกว่าปีก่อน มองว่า CENTEL มีความน่าสนใจ เนื่องจากในปีก่อนมีการรีโนเวทโรงแรมไป 2 แห่ง ทำให้ปี 68 นี้ เริ่มเปิดให้บริการได้ตามปกติในเรตราคาที่สูงกว่าเดิม เชื่อได้ว่ากำไรเริ่มกลับมาสู่ขาขึ้น Valuation ปัจจุบันลงมาค่อนข้างลึกมากแล้ว ประเมินราคาเป้าหมาย 35.00 บาท
- อีกกลุ่มที่มองว่าน่าสนใจ คือ ไฟแนนซ์ แม้ว่าภาพรวมเเศรษฐกิจจะยังดูแย่ กดดันคุณภาพสินทรัพย์ แต่มองว่าด้วย TIDLOR มีการตั้งสำรองในไตรมาส 1/68 ที่เบาลงมาก ประกอบกับภาพรวมดอกเบี้ยครึ่งหลังปีนี้แบงก์ชาติอาจปรับลดลงอีก 2 ครั้ง สัญญาณต้นทุนการเงินไฟแนนซ์น่าละลดลงได้อีก เชื่อว่าจะติดอันดับที่ 50 ของ SET 50 กองทุน Passive Fund จะไล่กลับมา ประเมินราคาเป้าหมาย 20.00 บาท
- นอกจากนี้ หากว่าถ้าสงครามการค้าถูกปลดล็อก กลุ่มปิโตรเคมี โรงกลั่น นิคมอุตสาหกรรม จะกลับมาได้ จึงเลือก BCP มีความน่าสนใจ โดยภาพไตรมาส 2/68 ค่อนข้างน่าสนใจ เข้าสู่ช่วง driving season สัญญาณกำไรมีการเร่งตัวขึ้น ดีมานด์ไฟฟ้าในสหรรัฐฯ เพิ่มสูง หนุนโรงไฟฟ้า BCPG ที่สหรัฐฯ ได้รับอานิสงส์ ส่งกำไรกลับมายัง BCP ประเมินราคาเป้าหมาย 38.00 บาท