จากประเด็นการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนยังคงยืดเยื้อ หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โพสต์ระบุว่า การเจรจากับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เป็นเรื่องยาก เนื่องจากจีนมีจุดยืนที่แข็งกร้าวและยากต่อการต่อรอง ทำให้หลายฝ่ายเกิดความกังวลว่าอาจกดดันบรรยากาศการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มเติมอีกหรือไม่
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า การเจรจาที่ยืดเยื้อยังเป็นปัจจัย Overhang มีโอกาสกดดันบรรยากาศการลงทุนโดยภาพรวมจนกว่าจะมีความชัดเจน
ทั้งนี้ ทางฝ่ายคาดว่าสุดท้ายแล้วการเจรจาการค้าเพื่อกำหนดอัตราภาษีของแต่ละประเทศ จะมีความชัดเจนก่อนกำหนดเส้นตายวันสุดท้าย (Deadline) ในวันที่ 8 ก.ค. 68 ดังนั้นแล้วจึงคาดว่าอาจเป็นแรงกดดันต่อสินทรัพย์เสี่ยงในช่วงนี้ไม่มากนัก
ในขณะเดียวกันมองว่าประเด็นดังกล่าวอาจเป็น Sentiment เชิงบวกเพียงเล็กน้อยต่อราคาทองคำ เพราะราคาเร่งตัวขึ้นไปรับความตึงเครียดในการเจรจาการค้าไปมากแล้ว ซึ่งทางฝ่ายคาดว่าบทสรุปของการเจรจาจะมีการจัดเก็บภาษีลดลงจากที่สหรัฐฯ ประกาศก่อนหน้านี้ แรงหนุนจากประเด็นนี้ที่มีต่อราคาทองคำจึงมีไม่มากนัก
ส่วนกระแสเงินลงทุนจากต่างชาติที่ไหลออกมาอย่างต่อเนื่องติดต่อกันถึง 5 เดือน ตั้งแต่เปิดต้นปี 68 จนถึงปัจจุบันคิดเป็นมูลค่ากว่า 7.0 หมื่นล้านบาทนั้น คาดว่าในช่วงเดือนมิ.ย. นี้จะยังคงมีสถานะสุทธิเช่นเดิม เนื่องจากการรอดูความชัดเจนด้านเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ
โดยเฉพาะการปรับครม. ซึ่งเมื่อสถานการณ์นิ่งขึ้นแล้ว ตั้งแต่กลางเดือนมิ.ย. เป็นต้นไป ทางฝ่ายคาดว่ากระแสเงินจะไหลกลับเข้ามาตลาดทุนไทยอีกครั้ง จาก 3 ปัจจัย ประกอบด้วย
สำหรับกระแสเงินทุนต่างชาติที่ไหลออกจากไทยไปอย่างต่อเนื่องนั้น มองว่าโฟลว์มีการไหลออกไปในทฺศทางเดียวกันกับทั้งภูมิภาค โดยคาดว่าส่วนใหญ่จะไหลเข้าไปลงทุนยังสหรัฐฯ และทองคำ ที่ Outperform สินทรัพย์เสี่ยงโดยภาพรวมในปีนี้
ด้านกลยุทธ์การลงทุนนั้น ทางฝ่ายแนะนำกลับเข้าไปลงทุนใน Domestic Play ช่วงครึ่งหลังเดือน มิ.ย. เช่น กลุ่มค้าปลีก สื่อสาร โรงไฟฟ้า โรงพยาบาล รับเหมาก่อสร้าง เพราะจะได้แรงหนุนจากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ
อย่างไรก็ตาม ทางฝ่ายวางเป้าหมายดัชนีปี 68 นี้ไว้ที่ 1,275 จุด ส่วนกรอบการเคลื่อนไหวเดือนมิ.ย. แนบรับที่ 1,120 จุด และแนวต้านที่ 1,170 จุด ในแง่อัตราส่วนในการปรับพอร์ตลงทุนนั้น แนะนำ สหรัฐฯ 30% หุ้นไทย 20% จีน 20% เวียดนาม 10% ทองคำ 10% และพันธบัตร 10% เป็นต้น