PCE คาดครึ่งหลังปี 68 ราคาปาล์มดี ความต้องการไทย-เทศล้น

26 พ.ค. 2568 | 00:00 น.

PCE เผยแนวโน้มราคาปาล์มครึ่งหลังปี 68 ทรงตัวในเกณฑ์ดี เดินหน้าลงทุนโรงกลั่น-ขยายตลาดใน-ต่างประเทศ มั่นใจรายได้เข้าเป้า 3 หมื่นล้าน

นายประกิต ประสิทธิ์ศุภผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PCE ผู้นำอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มแบบครบวงจรที่มีความพร้อมการจัดการระบบซัพพลายเชน เปิดเผยว่า ประเมินภาพรวมราคารับซื้อปาล์มในช่วงครึ่งหลังปี 68 คาดว่ายังมีเกณฑ์อยู่ในระดับที่ดี

แม้ว่าในช่วงในเดือนเมษายนและต่อเนื่องถึงเดือนพฤษภาคม 2568 ราคารับซื้อปาล์มปรับลดลงมากต่ำกว่าระดับ 5 บาทต่อกิโลกรัม ในบางพื้นที่ลดลงเหลือเพียง 4.00-4.50 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเฉพาะเดือนพฤษภาคมผลผลิตปาล์มน้ำมันได้ออกมาจำนวนมาก ทำให้ส่วนหนึ่งราคาจึงเป็นไปตามซัพพลายและดีมานด์

และอีกปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อราคารับซื้อปาล์ม คือ คุณภาพปาล์มที่ได้ หากว่ามีเปอร์เซ็นต์น้ำมันในระดับที่สูงราคาก็จะดีขึ้นตามไปด้วย อย่างไรก็ดี มองว่าในระยะถัดไปคาดว่าปริมาณผลผลิตปาล์มจะปรับตัวลดลงก็อาจหนุนให้ราคากลับมาอยู่ในระดับที่สูงขึ้นได้

ในแง่ของบริษัทนั้น ยังคงมีการรับซื้อผลผลิตปาล์มในระดับที่สูงอยู่ โดยบริษัท นิว ไบโอดีเซล จำกัด (ผู้ผลิตไบโอดีเซล) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ PCE ยังคงรับซื้อผลปาล์มในราคาระดับที่ไม่ต่ำกว่า 5 บาท และหากว่าเปอร์เซ็นต์น้ำมัน 18% ราคาเริ่มต้นรับซื้อที่ระดับ 5.10 บาทต่อกิโลกรัม

"ส่วนตัวมองว่าในระยะสั้นราคาอาจมีการปรับตัวขึ้นๆ ลงๆ บ้างตามความไม่แน่ของตลาดโลก ซึ่งมีน้ำมันจากพืชอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง อาทิ น้ำมันถั่วเหลือง และน้ำมันทานตะวัน เป็นต้น แต่ก็ไม่น่าห่วงนักเพราะจากคำสั่งซื้อที่บริษัทได้ทันเข้ามาอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นว่าความต้องการน้ำมันปาล์มยังมีต่อเนื่อง"

ขณะที่แนวโน้มราคาน้ำมันปาล์ม แม้ว่าจะปรับตัวขึ้นสูงสวนทางกับราคารับซื้อปาล์ม ส่วนตัวมองว่าราคาอาจมีการปรับตัวขึ้นๆ ลงๆ บ้างตามความไม่แน่ของตลาดโลก ซึ่งมีน้ำมันจากพืชอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง อาทิ น้ำมันถั่วเหลือง และน้ำมันทานตะวัน เป็นต้น แต่ก็ไม่น่าห่วงนักเพราะความต้องการน้ำมันปาล์มยังคงมีอยู่มาก

ในส่วนประเด็นนโยบายการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่มีผลกดดันต่อการค้าโลกนั้น ส่วนตัวมองว่าไม่มีผลกระทบกับน้ำมันปาล์ม บริษัทมีการกระจายความเสี่ยงของรายได้จากการส่งออกไปยังหลายประเทศ ทั้งจีน อินเดีย และอินโดนีเซีย ซึ่งแต่ละประเทศมีการส่งออกสินค้าที่แตกต่างกัน

มั่นใจผลงานโตเข้าเป้า

สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2568 นั้น บริษัทยังคงมั่นใจว่าการเติบโตจะเป็นไปตามเป้าหมายรายได้ไว้ที่ไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท หรือเติบโต 15-20% ต่อเนื่องจากปีก่อน โดยบริษัทวางแผนใช้เทคโนโลยีเพื่อขยายกำลังการผลิต ควบคู่กับการเพิ่มมูลค่าสินค้าในธุรกิจการสกัดและการกลั่นน้ำมันปาล์ม

โดยบริษัทวางแผนใช้เทคโนโลยีเพื่อขยายกำลังการผลิตน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) จาก 90 ตัน/ชม. เป็น 135 ตัน/ชม. ขยายกำลังการผลิตด้วยการกลั่นน้ำมันปาล์มโอเลอีน (RBDOL) จาก 300 ตัน/วัน เป็น 700 ตัน/วัน ตลอดจนเน้นผลิตและจำหน่ายน้ำมันเมล็ดในปาล์ม (CPKO)

นอกจากนี้ ยังเดินหน้าแผนลงทุนด้านโรงกลั่นน้ำมันปาล์ม เพื่อให้การสกัดน้ำมันปาล์มมีประสิทธิภาพสูงสุด ภายใต้งบลงทุนที่วางไว้ 800-1,000 ล้านบาทในปีนี้ รวมถึงขยายน้ำมันสำหรับบริโภคทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศให้เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมองเห็นว่าอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยของการบริโภคน้ำมันปาล์มนั้นเพิ่มขึ้นทุกปี

ขณะเดียวกันยังเดินหน้าแผนการส่งน้ำมันปรุงอาหารที่ใช้แล้ว (Used Cooking Oil) ให้กับ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP ประมาณ 5,000 ตัน/เดือน รวมถึงการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ แตกไลน์ผลิตภัณฑ์ปาล์มที่บริษัทมีอยู่ เช่น น้ำมันเมล็ดในปาล์ม (CPKO) และน้ำมันเมล็ดในปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ (RBDPKO) โดยสัดส่วนการเพิ่มยอดการจัดจำหน่ายเป็น 40,000 ตัน จากเดิมที่ 15,000 ตัน ตลอดจนแผนการส่งออกกะลาปาล์มไปยังญี่ปุ่น ที่ตั้งเป้าหมายมากกว่า 100,000 ตัน/ปี

พร้อมกันนี้ก็จะเพิ่มช่องทางจัดจำหน่ายสินค้าและบริการทางออนไลน์ให้มากยิ่งขึ้น เพื่อตอบสนองอัตราการอุปโภคบริโภคน้ำมันปาล์มที่เพิ่มมากขึ้นกว่าปีก่อน 3% (ข้อมูลจากกรมการค้าภายในกระทรวงพาณิชย์) ซึ่งคาดว่าจะเข้ามาเป็นอีกปัจจัยขับเคลื่อนให้การเติบโตของรายได้ในปี 2568 นี้ทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้