โบรกเชียร์ปรับพอร์ตรับพายุเศรษฐกิจ แนะลงทุนหุ้นปลอดภัย-ตราสารหนี้

22 พ.ค. 2568 | 23:30 น.

เศรษฐกิจโลกผันผวนกดดันหุ้นไทย โบรกแนะกระจายพอร์ตลงทุน ช่วยลดความเสี่ยง เลือกผสมหุ้น Defensive และตราสารหนี้

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและสงครามการเงิน ที่ต้องยอมรับว่าเพียงการส่งสัญญาณบางอย่างจาก "โดนัลด์ ทรัมป์" ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็สามารถสร้างแรงกระเพื่อมได้ทั้งในเชิงลบและบวกต่อการลงทุน

แม้ว่าในปัจจุบันจากการเดินหน้าเข้าเร่งขอเจรจาของนานาประเทศที่มีต่อสหรัฐฯ และการผ่อนคลายความตึงเครียดกำแพงภาษีระหว่างสหรัฐฯ และจีน จะส่งผลให้บรรยากาศในการลงทุนตลาดหุ้นกลับมาดูดีมากขึ้น แต่อะไรก็ยังไม่แน่นอน เพราะ SET Index พยายามที่จะหลุดออกไปทอสอบแนวต้านแรก 1,200 จุด แต่ก็ไม่สำเร็จ

ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศ ต้องจับตาดู คือ เรื่องงบประมาณปี 2569 ที่ล่าสุด รัฐบาลได้อนุมัติ ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 วงเงิน 3,780,600 ล้านบาท ซึ่งที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว พร้อมเอกสารประกอบงบประมาณ และจะนำเข้าสู่การประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยวิสามัญในวันที่ 28-30 พฤษภาคม 2568 ในวาระที่ 1
 

ซึ่งหากว่าแผนการใช้งบประมาณการลงทุนกระจายไปยังโครงการต่างๆ ที่สามารถเข้ามาช่วยขับเคลื่อนและผลักดันเศรษฐกิจ และ GDP ในประเทศได้มากน้อยแค่ไหน รวมถึงเรื่องความคืบหน้าการขอเจรจากับทางสหรัฐฯ ว่าท้ายที่สุดแล้วหลังครบกำหนด 90 วัน เรตภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยจะอยู่ที่ระดับเท่าไหร่

จากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ทางฝ่ายแนะนำการปรับพอร์ตการลงทุนใหม่ เป็นลงทุนในตราสารหนี้ สัดส่วน 40%, ตราสารทุน 30% และหุ้นไทย 30% เป็นต้น โดยการลงุทนในหุ้นนั้นมองว่าควรเลือกกลุ่มที่เป็นหุ้นที่มีความทนทานในทุกสภาพตลาด ทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง (Defensive Stock) รวมถึงหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลในระดับที่ดี อาทิเช่น

  • หุ้นกลุ่มแบงก์ ที่มีการจ่ายปันผลในระดับที่ดีมาอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าปัจจุบันจะเข้าสู่สภาวะดอกเบี้ยขาลงก็ตาม ซึ่งทางฝ่ายแนะนำ KTB และ TISCO มีความน่าสนใจ
  • หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค ทั้งน้ำและไฟฟ้า ยังเป็นหุ้นที่มีความปลอดภัย อีกทั้งมองว่าได้รับอานิสงส์จากเม็ดเงินลงทุนที่อาจโยกจากหุ้นอิงเศรษฐกิจในประเทศ ไปยังหุ้นอิงปัจจัยภายนอก (External play) แนะนำ GULF น่าสนใจ
  • หุ้นกลุ่มที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี มีสตอรี่ของตัวเอง ทางฝ่ายแนะนำ PLANB และ CK เป็นต้น

นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ยังคงมีความผันผวนอยู่มาก ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอก ที่ยังไม่มีอะไรใหม่เข้ามาหนุน และเป็นสถานการณ์ที่ค่อนข้างก้ำกึ่ง

ดังนั้นจะเห็นว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยในระยะนี้จะแกว่งตัวในกรอบ 1,150 - 1,230 จุด การหมุนไปยังหุ้น External play และผันผวนจากพันธบัตรเริ่มเกิดขึ้นตามที่คาด ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ปรับขึ้น สะท้อนความกังวลความเสี่ยงการคลังสหรัฐฯ

ทั้งนี้ ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ 10 ปี ขยับขึ้นถึง 4.6% สูงสุดในรอบ 3 เดือน บ่งชี้ถึงความกังวลของตลาดต่อการขาดดุลของสหรัฐฯ ที่อาจเร่งตัวขึ้นจากกฎหมายปฏิรูปภาษีฉบับใหม่ ที่จะมีรายการลดหย่อนภาษีจำนวนมาก ซึ่งอาจมีมูลค่าสูงถึง 5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ

ประกอบกับแรงกดดันจากการที่นักลงทุนพยายามลดการถือครองสินทรัพย์สกุลเหรียญสหรัฐฯ เพื่อลดความเสี่ยงผลกระทบจากสงครามการค้า ทั้งนี้ ทางฝ่ายยังคงมุมมองว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะไม่ลุกลามเป็นวิกฤติ อย่างไรก็ตามอาจทำให้ตลาดกังวลและเกิดความผันผวนเช่นที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าว อาจทำให้ส่วนชดเชยความเสี่ยงของตลาดปรับเพิ่มขึ้น กระทบต่อบรรยากาศลงทุนระยะสั้นได้

โดยยังคงมุมมองเม็ดเงินอาจโยกจากหุ้นอิงเศรษฐกิจในประเทศ ไปยังหุ้นอิงปัจจัยภายนอก: การรับตำแหน่งประธานาธิปดีสหรัฐฯ ของโดนัลด์ ทรัมป์ ในช่วงปลายปี 2567 ทำให้ตลาดประเมินถึงเศรษฐกิจโลกที่อาจผันผวนมากขึ้น และทำให้ธีมการลงทุนโน้มเอียงไปทางการเพิ่มน้ำหนักหุ้นอิงเศรษฐกิจภายในประเทศ (Domestic play) และลดน้ำหนักหุ้นอิงปัจจัยภายนอก (External play)

อย่างไรก็ตาม มองว่าเม็ดเงินมีโอกาสเกิดการจัดสรรใหม่ (Re-allocation) หลังภาพเศรษฐกิจในประเทศมีความเสี่ยงที่จะอ่อนแอลง ขณะที่หุ้นอิงปัจจัยภายนอกแย่ แต่อาจไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ตลาดกังวลก่อนหน้า หลังสหรัฐฯ-จีน บรรลุข้อตกลงเบื้องต้นที่อาจนำไปสู่การปรับลดภาษีการค้าตอบโต้ถาวร (จากระดับปัจจุบันที่ 30% เป็นเวลา 90 วัน)

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนยังเน้นเลือกหุ้นที่มีความเสี่ยงปรับลดประมาณการต่ำ อาทิ หุ้นปลอดภัย (โรงไฟฟ้า / สื่อสาร) หรือหุ้นที่มีการถือครองต่ำ (โรงกลั่น / ปิโตรเคมี): ด้วยผลประกอบการไตรมาส 1/68 ที่ดูอ่อนแอในภาพรวม (จำนวนหุ้นที่กำไรเพิ่มขึ้นจากเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน เพียง 32% เท่านั้น)

ส่งผลให้ทางฝ่ายยังมองระวังต่อการปรับลดเป้าหมาย หรือปรับลดประมาณการกำไร ที่อาจเกิดขึ้นหลังประกาศผลประกอบการ และยังมองหุ้นที่ยังมีโอกาสลงทุน อยู่ในกลุ่มหุ้นปลอดภัยและที่มีการถือครองต่ำ ซึ่งได้แก่ ADVANC, TRUE, EGCO, RATCH, GUNKUL, PTTGC, SCC, IVL, SCGP, TOP, SPRC

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมกลยุทธ์ เป็นลบหลังหลุด 1,181 จุด ทำให้ต้องระวังความเสี่ยง downside การเก็งกำไรจากนี้ เพิ่มความระวังและใช้การหลุด 1,150 จุด เป็นจุดตัดสินใจชะลอการเก็งกำไร กลุ่มอาหารและปิโตรเคมียังน่าสนใจจากแนวโน้มผลประกอบการที่คาดปรับดีขึ้นในไตรมาส 2/68

โดยมีกรอบแนวรับที่ 1,165 จุด และแนวต้านที่ 1,200 จุด สำหรับสัดส่วนลงทุน แนะนำถือเงินสด 50% และลงในพอร์ตหุ้น 50%