ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันศุกร์ (16 พ.ค.) ซึ่งติดต่อกันเป็นวันที่ 5 โดยได้แรงหนุนจากการทำข้อตกลงระงับเก็บภาษีนำเข้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนเมื่อต้นสัปดาห์
โดยตลอดทั้งสัปดาห์ดัชนีดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 3.4%, ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 5.3% และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 7.2%
อย่างไรก็ดีในบรรดาหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมหลัก 11 กลุ่มของดัชนี S&P 500 ส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้น โดยกลุ่มพลังงานเป็นกลุ่มเดียวที่ลดลง 0.18% ส่วนกลุ่มที่ทำผลงานได้ดีที่สุดคือกลุ่มเฮลท์แคร์ที่เพิ่มขึ้น 1.96% หลังจากปรับตัวผันผวนในสัปดาห์นี้
ตลาดปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงเช้าวันศุกร์ ขณะที่นักลงทุนมองข้ามการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ โดยผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนพ.ค.ร่วงลง ขณะที่การคาดการณ์เงินเฟ้อในช่วง 1 ปีข้างหน้าเพิ่มขึ้นเป็น 7.3% จาก 6.5% ในเดือนเม.ย.
ดัชนีหลักทั้ง 3 ตัวปิดบวกได้ในรอบสัปดาห์ ได้แรงหนุนจากการปรับขึ้นอย่างมากเมื่อวันจันทร์ หลังจากรัฐบาลสหรัฐฯ และจีนตกลงหยุดสงครามการค้าชั่วคราวเป็นเวลา 90 วัน ซึ่งเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนายกรัฐมนตรีอังกฤษประกาศข้อตกลงการค้าทวิภาคี
นักวิเคราะห์กล่าวว่า การปรับตัวขึ้นของตลาดในวันศุกร์เป็นแรงบวกต่อเนื่องจากการคลี่คลายความขัดแย้งด้านการค้า โดยตลาดมีความหวังอย่างระมัดระวังกับท่าทีที่อ่อนลงเกี่ยวกับการค้า แต่ยังรอดูว่าสุดท้ายแล้วสหรัฐฯ จะดำเนินมาตรการภาษีไปในทิศทางใด
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังจับตาความชัดเจนเรื่องนโยบายภาษีของสหรัฐฯ หลังร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ไม่สามารถผ่านขั้นตอนสำคัญในสภาคองเกรสได้ เนื่องจากสมาชิกพรรครีพับลิกันสายแข็งเรียกร้องให้มีการตัดงบประมาณลงอีก ซึ่งถือเป็นอุปสรรคทางการเมืองที่ไม่คาดคิดสำหรับผู้นำสหรัฐฯ