ความอึมครึมทางการเมืองและปัจจัยเศรษฐกิจในประเทศที่ยังไม่ฟื้นดี ทุบหุ้นไทยนับจากต้นปี 2567 (YTD) ดัชนี SET ดิ่งติดลบ 8.4 % ล่าสุด (17 มิ.ย.67) หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ จึงได้จัดงานสัมมนา หัวข้อ Discover new opportunities : ลงทุนสินทรัพย์ทางเลือก แนะช่องทางทางเลือกในการลงทุน ไม่ว่าจะเป็น “ทองคำ” หุ้นเมกะเทรนด์ธุรกิจโรงไฟฟ้า TPIPP ที่เปลี่ยนจากขยะเป็นพลังงานทดแทน หุ้นกลุ่มความงาม “MASTER” ที่ราคายังวิ่งแกร่งสวนตลาด รวมถึงทางเลือกในการลงทุนหุ้นชั้นนำต่างประเทศผ่าน DR
ทองคำขาขึ้น! แตะ 4.6 หมื่นบาท
นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทวายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส (YLG) กล่าวว่าทิศทางราคาทองคำยังมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น ปัจจัยหลักมาจาก
1.การที่ธนาคารกลางต่างเทขายดอลลาร์สหรัฐ หันมาถือทองคำเป็นทุนสำรองฯ โดยเฉพาะธนาคารกลางในฝั่งเอเชีย 3 ประเทศหลัก คือ จีน อินเดีย รัสเซีย ที่กระจายพอร์ตทุนสำรองโดยลดการถือครองดอลลาร์ หันมาซื้อทองอย่างต่อเนื่อง
จากรีเสิร์ช ของธนาคารซิตี้แบงก์ เมื่อมองจากดีมานด์และซัพพลาย พบว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาธนาคารกลางได้เข้าซื้อทองเพิ่มขึ้นในระดับ 1,000 ตันต่อปี เมื่อบวกกับความต้องการซื้อของกลุ่มจิวเวลลี่ กองทุนอีทีเอฟ ดีมานด์ทองอยู่ใกล้เคียงกับซัพพลายทองคำ ที่ตกปีละประมาณ 4,000 ตันต่อปี ดังนั้น หากการสำรองทองคำของธนาคารกลางเพิ่มขึ้นเป็น 2,000 ตันต่อปี ก็มีโอกาสผลักดันให้ราคาทองมีโอกาสขยับขึ้น 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์
2.ปัจจัยจากกองทุนอีทีเอฟที่ปัจจุบันถือครองทองคำอยู่ในระดับต่ำสุด เนื่องจากก่อนหน้านี้การลงทุนในพันธบัตรสหรัฐให้ผลตอบแทนสูงกว่า จึงการเทขายทองคำออก ดังนั้น จึงมีแนวโน้มสูงที่กองทุนอีทีเอฟ จะกลับเข้ามาถือทองคำสูงขึ้น
แต่ทั้งนี้ต้องจับตาการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่จะมีถึงในเดือนพฤศจิกายนปีนี้ว่าใครจะเป็นประธานาธิบดีคนต่อไป ระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์ กับ โจ ไบเดน ซึ่งจะมีผลต่อการกำหนดนโยบายการเงิน และการค้า โดยหากเป็น “ทรัมป์ ” มองว่าอาจส่งผลให้ราคาทองคำผันผวน
“ราคาทองร้อนแรงมาหลายปี ตั้งแต่ช่วงที่เกิดโควิด ปรับขึ้นทะลุบาทละ 38,000-39,000 บาท และปีนี้ก็ต้องถือว่าราคาทองในประเทศพุ่งร้อนแรงปรับขึ้น 20% ส่วนหนึ่งเป็นผลจากค่าเงินบาทอ่อนช่วยหนุนราคาปรับขึ้นราว 6-7% ขณะที่ราคาทองต่างประเทศปรับขึ้น 14-15% ดังนั้น อาจเห็นการขายทำกำไร โดยแนวโน้มราคาทองช่วง 3-5 ปี จากนี้ยังเป็นขาขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจโลกโดยรวมยังไม่ฟื้นดีขึ้นนัก ส่วนประเด็นที่ว่าทองคำมีโอกาสหมดไปจากโลกหรือไหม หากดูจากตัวเลขเหมืองทองทุกแห่งรวมกัน ปัจจุบันมีประมาณ 59,000 ตัน ขณะที่มีการนำทองมาผลิต 3,000 ตันต่อปี ดังนั้นภายในระยะเวลา 19 ปี ก็น่าจะหมด ยกเว้นว่าจะมีการค้นพบเหมืองทองใหม่”
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร วายแอลจี กล่าวว่าในระยะสั้น คาดว่าแรงเทขายทำกำไร ทำให้ราคาทองอาจย่อพักฐาน อยู่บริเวณแนวรับที่ 2,277 -2,228 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือราคาทองในประเทศแนวรับ 39,500-38,700 บาท (จากจุดสูงสุดในปีนี้ 2,450 ดอลลาร์สหรัฐฯ) และในปี 2568 มองแนวต้าน ราคาทองมีโอกาสกลับไปทดสอบที่ 2,500 และ 2,650 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือประมาณบาทละ 46,000 บาท
ส่วนกลยุทธ์การลงทุนทองคำ ซีอีโอ YLG แนะนำโดยอ้างอิงข้อมูลจากสมาพันธ์ทองคำโลก ว่า พอร์ตการลงทุนที่ดี ควรมีสัดส่วนการถือในทองคำประมาณ 5-15% เพราะจะให้ผลตอบแทนที่ดี สร้างเสถียรภาพของพอร์ต และยังเป็นการกระจายความเสี่ยง
"DR" ลงทุนหุ้นชั้นนำโลก สร้างผลตอบแทนเพิ่ม
นายต่อตระกูล สัตยาประเสริฐ Head of Structuring and Products Development ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB ธนาคารเจ้าตลาดผลิตภัณฑ์ "DR" กล่าวถึงทางเลือกการลงทุน ตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ หรือ DR (Depositary Receipt ) ว่า การลงทุนใน DR ว่า ถือเป็นทางเลือกเพื่อกระจายการลงทุน ซึ่งผู้ลงทุนสามารถเลือกลงในหุ้นชั้นนำระดับโลก ได้หลากหลายตรงตามความต้องการ ข้อดีของการลงทุนใน DR ไม่เพียงได้รับสิทธิผลตอบแทนเสมือนเป็นการลงทุนในหุ้นต่างประเทศโดยตรง และเลือกหุ้นรายตัวได้โดยไม่ต้องโอนเงินไปต่างประเทศ เสมือนการซื้อหุ้นไทยตัวหนึ่ง โดยซื้อขายผ่านโปรแกรมสตรีมมิ่ง (Streaming) และจากการที่เป็นหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในประเทศไทย จึงทำให้การลงทุนใน DR ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมจัดการ และได้รับการยกเว้น “ภาษีเงินได้” จากการลงทุนหุ้นต่างประเทศ
ปัจจุบันมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด หรือมาร์เก็ตแคปในตลาด DR กับ DRx (DRx : DR อ้างอิงหลักทรัพย์ในโซนตลาดหุ้นสหรัฐฯ) รวมกันมีมูลค่า 26,307 ล้านบาท เติบโตกว่า 54% เมื่อเทียบจากสิ้นปี 2566 ที่มีมูลค่าตลาดราว 17,083 ล้านบาท จากผู้ออก 4 บริษัท ในตลาด ได้แก่ธนาคารกรุงไทย , บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง, บล.หยวนต้า และบล.เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด
ผลิตภัณฑ์ DR ในตลาด ปัจจุบันมีให้เลือกถึง 42 หลักทรัพย์ ครอบคลุมทั้งหุ้นสหรัฐอเมริกา ยุโรป เวียดนาม ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และฮ่องกง โดยจำนวนนี้มี 6 หลักทรัพย์ใหม่ ซึ่งธนาคารกรุงไทย เป็นผู้ออกและได้เปิดซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นวันแรกเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา เป็น DR 3 หลักทรัพย์อ้างอิงหุ้นญี่ปุ่น ได้แก่ Sony, Toyota และ Uniqlo และ DRx 3 หลักทรัพย์ อ้างอิงหุ้นสหรัฐอเมริกา ได้แก่ Berkshire Hathaway, Coca-Cola และ Pepsi
" DR ที่ออกโดยธนาคารกรุงไทยทั้งสิ้น 24 หลักทรัพย์ และในครึ่งหลังปีนี้ ธนาคาร ฯ มีแผนจะมี DR อีก 10 หลักทรัพย์ เพื่อเพิ่มโอกาสและทางเลือกลงทุนหุ้นชั้นนำระดับโลกที่หลากหลาย"
"TPIPP" หุ้นโรงไฟฟ้าเมกะเทรนด์
นายภัคพล เลี่ยวไพรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPP กล่าวว่า Mega Trend ที่จะทำให้โลกเปลี่ยนไปอีก 20 ปีข้างหน้าก็คือ “Climate Change และ Cleaner& Greener” สอดคล้องกับที่ประเทศไทยได้ร่วมประชุมบนเวที COP ที่ประเทศอียิปต์ และได้ทำข้อตกลงว่าภายในปี 2025 (ปี พ.ศ.2568) จะมีการลดโรงไฟฟ้าที่มาจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล และเริ่มใช้โรงไฟฟ้าที่มาจากพลังงานหมุนเวียน โดยในปี 2050 (ปีพ.ศ.2593) สัดส่วน 74% ของโรงไฟฟ้าจะต้องเป็นพลังงานหมุนเวียน และทยอยยกเลิกการใช้โรงไฟฟ้าถ่านหิน โดยที่ไทยจะต้องเป็น Carbon Neutral ในปี 2050 และ Net Zero ในปี 2065 (ปีพ.ศ.2608)
“TPIPP” มุ่งเป็นผู้นำด้านการนำขยะไปสู่พลังงาน การเติบโตของธุรกิจโรงไฟฟ้าของบริษัท จากปีพ.ศ. 2552 ที่กำลังผลิต 60 เมกะวัตต์ เป็นพลังงานความร้อนทิ้งที่มาจากบริษัทแม่ ส่วนปี 2565 มี 440 เมกะวัตต์ โดยเหลือพลังงานความร้อนทิ้ง 40 เมกะวัตต์ และมีพลังงานจากขยะ 180 เมกะวัตต์ ส่วนอีก 220 เมกะวัตต์คือถ่านหิน จากนั้นปี 2567 พลังงานความร้อนทิ้งเหลือ 40 เมกะวัตต์เท่าเดิม ส่วนพลังงานขยะเพิ่มขึ้นเป็น 250 เมกะวัตต์ โดยมีโซลาร์เพิ่มมา 37 เมกะวัตต์ และอีก 150 เมกะวัตต์ยังเป็นถ่านหิน อย่างไรก็ดีหลังจากปี 2569 บริษัทจะเพิ่มเป็น 540 เมกะวัตต์ จำนวนนี้ 420 เมกะวัตต์จะเป็นพลังงานขยะ ส่วน 79 เมกะวัตต์จะเป็นโซลาร์ โดยที่ 40 เมกะวัตต์ ยังเป็นความร้อนทิ้ง ด้านถ่านหินจะกลายเป็นศูนย์”
ภัคพล กล่าวอีกว่า การเปลี่ยนโรงไฟฟ้าถ่านหิน เป็นโรงไฟฟ้าขยะของบริษัทแบ่งออกเป็น 6 เฟส โดยเฟสที่ 1-3 เสร็จเรียบร้อยแล้วเมื่อช่วงปลาย 2565-2566 หรือรวมทั้งหมดประมาณ 40% ปัจจุบันกำลังดำเนินการในเฟสที่ 4-6 อยู่ โดยเฟสที่ 4 จะเสร็จช่วงเดือน ก.ย.ซึ่งจะทำให้โรงไฟฟ้าถ่านหินหายไปอีก 20% ส่วนเฟสที่ 5 จะเสร็จช่วงเดือน ธ.ค.ปี 2568 โดยจะทำให้โรงไฟฟ้าถ่านหินหายไปได้อีก 20% และเฟสที่ 6 เมื่อแล้วเสร็จจะทำให้โรงไฟฟ้าถ่านหินหายไปเพิ่มอีก 20% ซึ่งจะครบทั้ง 100% โดยที่จะเป็นโรงไฟฟ้าขยะทั้งหมดในปี 2569 เป็นต้นไป
ปัจจุบันบริษัทผลิตไฟฟ้าด้วยการทดแทนพลังงาน จะประกอบด้วยโซลาร์ฟาร์มมี 73 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ที่จังหวัดสระบุรี โดยขายไฟฟ้าให้กับบริษัทแม่ และจะเริ่มขายเชิงพาณิชย์หรือ COD กลางปี 2567-2568 ส่วนโซลาร์รูฟท็อปมีอยู่ประมาณ 6 เมกะวัตต์ คาดภายใน 1-2 เดือนจะดำเนินการแล้วเสร็จทั้งหมด โดยขายไฟฟ้าให้กับบริษัทแม่เช่นเดียวกัน
ภัคพล กล่าวอีกว่า อุปสรรคของไทยที่อาจจะทำให้ไม่สามารถไปสู่เมกะเทรนด์ดังกล่าวได้ก็คือ ตลาดคาร์บอนเครดิต โดยหากเป็นที่ยุโรปนั้น คาร์บอนเครดิต 1 ตันสามารถขายได้ประมาณ 90 ยูโร ที่จีนจะขายได้ 7 ดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ไทยในปัจจุบันตลาดคาร์บอนยังอยู่ในราคาที่ต่ำ
“สิ่งที่ทำให้ยุโรปและจีนสามารถไปได้ไกล เพราะทั้ง 2 ประเทศมีภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) หากผลิตคาร์บอนเกินโควตาจะต้องเสียภาษี ทำให้บริษัทแห่งหนึ่งที่ผลิตคาร์บอนเกินโควตา ต้องซื้อคาร์บอนเครดิตจากอีกบริษัทหนึ่งที่โควตายังเหลืออยู่ ทำให้ตลาดมีการเติบโต และมีมูลค่ามากขึ้น อย่างไรก็ตาม หากพ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ออกมาภายในปีนี้ ก็น่าจะทำให้ไทยมีตลาดคาร์บอนที่มั่นคงมากขึ้น และได้รับความสนใจในการลงทุนเพิ่มขึ้น”
ข้อมูลจากตลท. หุ้น TPIPP ณ 18 มิ.ย.67 มีค่า PE อยู่ที่ 8.33 เท่า ต่ำกว่าอุตสาหกรรมพลังงานซึ่งอยู่ที่ 11.22 เท่า และต่ำกว่าตลาดซึ่งอยู่ที่ 16.99 เท่า หรือต่ำกว่าตลาดกว่า 2 เท่าตัว ขณะที่อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) TPIPP อยู่ที่ 7.32% (YTD ) สูงกว่า SET ซึ่งอยู่ที่ 3.52% หรือสูงกว่าถึง 2 เท่ากว่า จัดเป็นหุ้นเมกะเทรนด์ที่น่าสนใจ ในสถานการณ์ตลาดหุ้นยามนี้
MASTER หุ้นแกร่ง สวนตลาด
ด้านนายแพทย์ระวีวัฒน์ มาศฉมาดล Group CEO บริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด(มหาชน) หรือ MASTER กล่าวว่า พื้นฐานความแข็งแกร่งของ MASTER คือ ตอบโจทย์การทำ M&P (Merger & Partnership) ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย โดยไม่ต้องเปิดสาขาแข่งกับคู่แข่งเจ้าถิ่น แต่เข้าไปจับมือกับคู่แข่ง แล้วนำจุดแข็งของแต่ละคนมารวมกัน เพื่อสร้างการเติบโตซึ่งได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า โดยภายใน 1 ปี นับตั้งแต่ MASTER เข้าตลาดหลักทรัพย์ กลายเป็นแม่ทัพที่มีมากกว่า 15 บริษัท ซึ่งสถิติตลาดความงามในประไทยตั้งแต่ปี 2566-2567 มีอัตราการเติบโตขึ้นถึง 10%
ขณะที่กลุ่มธุรกิจของ Master ลูกค้าจะกลับมาใช้บริการซ้ำถึง 15% โดยส่วนใหญ่จะไม่เข้ามารับบริการทั้งหมดเพียงครั้งเดียว แต่จะทะยอยทำทีละส่วน เช่น ครั้งแรกมาทำตา ผ่านไปสักพักก็อาจจะวนกลับมาทำจมูก เลเซอร์ หรือเพิ่มในส่วนอื่น ทำให้อัตราการเติบโตของธุรกิจสูงขึ้น ขณะที่ลูกค้าต่างชาติก็เพิ่มขึ้นด้วย ทั้งกลุ่มเมียนมา สปป.ลาว กัมพูชา สิงคโปร์ มาเลเซีย รวมไปถึงอินโดนีเซีย ตั้งเป้าไว้ว่าในปี 2567 ลูกค้าต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นอีก 30% ซึ่งในครึ่งปีแรกก็มีสัดส่วน 24% ใกล้เคียงกับเป้าหมายแล้ว ถือว่าธุรกิจอยู่ในจุดที่ดีมาก
ทั้งนี้ หลังจาก Master เข้าตลาดฯ และลงทุนเพียง 1 ปี จากที่เคยเป็นโรงพยาบาลศัลยกรรมที่มีสาขาเพียงแห่งเดียว ปัจจุบันมีเครือข่ายเพิ่มขึ้น 43 สาขา ในปี 2567 จะร่วมมือเพิ่มอีก 5 บริษัท และเพิ่มเป็น 95 สาขาในปี 2568 โดยยังคงเน้นไปที่การผ่าตัดเรื่องความงาม ทำหน้า ซึ่งเป็นเมกะเทรนด์ในปัจจุบันและเป็นเบอร์ 1 ที่ลูกค้าและนักลงทุนสนใจ ถัดมาจะเป็นเรื่องโรงพยาบาลเฉพาะทาง การปลูกผม Beauty personal บ้านพักผู้สูงอายุ และการชะลอวัย ซึ่งเคล็ดลับสำคัญสำหรับการเติบโตไม่ว่าจะเป็นด้านไหน กลุ่มมาสเตอร์จะใช้การบริหารจัดการคน ใช้คนให้ถูกตามความสามารถ
นายแพทย์ระวีวัฒน์ ยังกล่าวถึงกลยุทธ์ของ MASTER เติบโตโดยเน้นกลยุทธ์เน้นคน ดูแลตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ มีโปรดักส์ใหม่ที่เพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ใช้บริการ โฟกัสทุกอย่างที่ทำให้ผู้ใช้บริการมั่นใจมากขึ้น การเข้าไปช่วยซัพพอร์ตกับคนที่มาร่วมมือกัน ไม่ว่าเรื่องของกลไกลต่างๆ ตลอดจน Black Office การตลาด เรื่องการพัฒนา และด้วยจุดแข็งของ MASTER คือการทำงานหนักในทุกๆ วัน ไม่ว่าสถานการณ์ของประเทศไทยจะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะความรับผิดชอบและการพยายามพัฒนาทุกด้าน การเลือกคนให้ถูก สร้างคนเก่ง ผลักดันให้บริษัทเติบโต เชื่อว่าสิ่งนี้จะเป็นสิ่งสำคัญให้กลุ่ม MASTER เติบโตขึ้น
ผลดำเนินงาน MASTER ไตรมาส 1/2567 มีรายได้ 477.55 ล้านบาท เติบโต 8.97% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (Q1/2566) ที่มีรายได้ 438.23 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 106.24 ล้านบาท เติบโตถึง 48.46% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 71.56 ล้านบาท
โดยตั้งแต่ต้นปี 2567 เป็นต้นมา (YTD) หุ้น MASTER ปรับขึ้น +16.26% มาอยู่ที่ 59.00 บาท (18 มิ.ย.67 ) สวนตลาดหุ้นไทย YTD - 8.37%