ปัจจัยกดดันทั้งเรื่องเศรษฐกิจไทยที่อ่อนแอ และปัญหาด้านการเมือง ได้ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุน ทุบดัชนีหุ้นไทย นับตั้งแต่ต้นปี 67 ( YTD) ดัชนี SET ดิ่ง 8.4% หลุด 1300 จุด โดยทำจุดต่ำสุดล่าสุด 1,288.92 จุด (ปิดภาคเช้า 19 มิ.ย.67) ต่ำสุดในรอบ 4.2 ปี และส่งผลให้ต่างชาติเทขายหุ้นไทยถึงปัจจุบันแล้วกว่า 1.02 แสนล้านบาท เทียบตลาดหุ้นในภูมิภาค พบว่า FUND FLOW ไหลออกตลาดหุ้นไทยมากสุด
ข้อมูลจากฝ่ายวิจัย บล.เอเซียพลัส ระบุว่า FUND FLOW ต่างชาติในช่วงครึ่งแรกปี 67 เอนเอียงไหลไปที่หุ้นกลุ่ม TECH มากขึ้น สะท้อนได้จากตลาดหุ้น NASDAQ ปรับตัวขึ้นได้โดดเด่น +19%YTD เช่นเดียวกับการเคลื่อนไหวของ FUND FLOW ในตลาดหุ้นในภูมิภาค ที่เอนเอียงไปที่ตลาดหุ้นในแถบเอเชียเหนือเป็นหลัก (ส่วนใหญ่มีหุ้นกลุ่ม TECH ประกอบ)
โดยต่างชาติซื้อสุทธิตลาดหุ้นญี่ปุ่นมากสุด +3.79 หมื่นล้านเหรียญ รองลงมาคือ เกาหลีใต้ +1.59 หมื่ล้านเหรียญ และไต้หวัน + 4.1 พันล้านเหรียญ ในทางตรงกันข้ามขายสุทธิตลาดหุ้นในแถบเอเซียใต้ โดยตลาดหุ้นไทยถูกขายสุทธิมากสุด -2.78 พันล้านเหรียญ ตามมาด้วยเวียดนาม -1.4 พันล้านเหรียญ, ฟิลิปปินส์ -481 ล้านเหรียญ และอินโดนีเซีย -423 ล้านเหรียญ FUND FLOW ที่ไหลออกจากตลาดหุ้นไทยในปีนี้สูงสุดในภูมิภาค และเกิน 1 แสนล้านบาท กดดันให้เตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงแรงสุดในภูมิภาค -8.4% YTD
โดยการไหลออกของ FUND FLOW ในตลาดหุ้นไทยเกิดขึ้นหนักๆ ในช่วงปลายเดือน พ.ค. - ปัจจุบัน ซึ่งเป็นช่วงที่มีความไม่แน่นอนจากทางการเมืองสูง กดดันให้ต่างชาติขายหุ้นไทย 19 วันทำการติด (21 พ.ค.-18 มิ.ย.67 ) กว่า -3.66 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตามในระยะสั้นน่าจะเห็น FUND FLOW ชะลอการไหลออกบ้าง เนื่องจากสถานะการณ์การเมืองมีอยู่ แต่เหตุให้เปลี่ยนแปลงเร็วๆ อย่างมีนัยฯ ยังไม่เกิดขึ้นอีกซักระยะ อีกทั้งนักลงทุนยังเฝ้ารอกฏ UPTICK ที่เริ่มใช้วันที่ 1 ก.ค.67 และกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) ใกล้เข้ามามากขึ้น รวมถึงเริ่มเห็นต่างชาติกลับมาซื้อ SET50 FUTURES กว่า 22,257 สัญญา ในวานนี้เพราะหากพิจารณาจากสถิติในปีนี้ พบว่า ต่างชาติซื้อ SET50 FUTURES เกิน 2 หมื่นสัญญาต่อวัน ทั้งสิ้น 16 วัน น่าจะเป็นสัญญาณที่ดีขึ้น และต่างชาติอาจจะขายสำหรับหุ้นไทยน้อยลงในระยะถัดไปได้
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท หลักทรัพย์ ทิสโก้ จํากัด เปิดเผยว่า ปัจจัยหลักกดดันตลาดหุ้นไทย คือ ความอ่อนแอของเศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวต่ำกว่า 2% ติดต่อกัน4 ไตรมาส และผลประกอบการที่แย่ของบริษัทจดทะเบียนไทย(บจ.)ที่กำไรสุทธิลดลง 11% ในปีที่ผ่านมา และขยายตัวไม่ถึง 2% ในไตรมาสแรกของปีนี้ ด้านการเมืองคืออีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้นักลงทุนขาดความมั่นใจ โดยเฉพาะความเสี่ยงด้านสถานะของนายกรัฐมนตรี ซึ่งอาจนำไปสู่ความไร้เสถียรภาพและสูญญากาศทางการเมือง
"มองในระยะสั้น ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสรีบาวน์ เพราะทั้งเศรษฐกิจไทยและผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนเริ่มมีสัญญาณดีขึ้นในครึ่งปีหลัง ตัวช่วยสำคัญ คือ ทิศทางดอกเบี้ยโลกที่เริ่มกลับสู่ขาลง ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดหุ้นเกิดใหม่ มักได้อานิสงส์เงินทุนไหลเข้าช่วงดอกเบี้ยโลกขาลง หลังจากที่ธนาคารกลางหลายแห่งเริ่มลดดอกเบี้ยแล้ว และเฟด เตรียมลดดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีหลัง"
อย่างไรก็ดีดัชนีหุ้นไทย จะฟื้นได้แรงแค่ไหนขึ้นอยู่กับรัฐบาลจะเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนให้กลับขึ้นมาได้มากน้อยแค่ไหน อย่างแรก รัฐบาลต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับมาขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 3% ต่อปี ตลอดอายุรัฐบาล โดยอาจเริ่มต้นด้วยการปรับปรุงนโยบายเศรษฐกิจให้ตอบโจทย์ทั้งระยะสั้นและระยะยาวและเป็นที่ยอมรับ และต้องเร่งกู้ Trust and Confidence ให้กลับคืนมาโดยเร็ว ผ่านการให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับข้อกังวลต่างๆ ของนักลงทุน รวมทั้งบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดและรวดเร็ว
นอกจากนั้น รัฐบาลต้องไม่รีรอที่จะเพิ่มกำลังซื้อในตลาดหุ้นไทย ผ่านการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบกองทุน LTF แบบเดิม หรือปรับรูปแบบกองทุน TESG ให้มีวงเงินสูงขึ้นและระยะเวลาลงทุนสั้นลง เพื่อสร้าง Impact ต่อตลาดหุ้นให้ได้มากและเร็วที่สุด
ด้านดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุน VI รายใหญ่ กล่าวว่า โดยส่วนตัวมองว่าปัญหาของหุ้นไทย อาจจะไม่ใช่ปัญหาชั่วคราว แต่เป็นปัญหาถาวรที่เกิดจากโครงสร้างซึ่งยากจะแก้ไข ทำให้นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยมาตลอด โดย 3 ปัญหาโครงสร้างหลัก นั่นก็คือ
โครงสร้างแรก เรื่องของประชากรที่แก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว ขณะที่จำนวนคนเกิดใหม่น้อยลงอย่างรวดเร็วยิ่งกว่า ทำให้จำนวนคนทำงานสร้างผลผลิตหรือ GDP และประสิทธิภาพก็ลดลงเรื่อย ๆ คนมีความรู้ทางเทคโนโลยีไม่พอ
โครงสร้างที่สองคือเรื่องของระบบการปกครองประเทศ ค่อนข้างล้าสมัยไม่สามารถปรับเปลี่ยนไปได้รวดเร็วพอ จึงไม่สามารถตอบสนองต่อเจตจำนงเสรีของประชาชนที่แท้จริงได้เพียงพอ และรัฐบาลก็ไม่สามารถมีเสถียรภาพเพียงพอที่จะปฏิบัติตามเจตจำนง
และโครงสร้างที่สามก็คือ โครงสร้างของบริษัทซึ่งก็เป็นผู้เล่นหลักในเศรษฐกิจ เป็นอุตสาหกรรมยุคเก่าหรือยุคปัจจุบันที่กำลังอิ่มตัว บริษัทใหญ่ ๆ ในตลาดหลักทรัพย์ไม่ได้มีการสร้างธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่จะสร้างเอสเคิร์บหรือการเติบโตใหม่ ๆ ขึ้น เทียบกับคู่แข่งประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนที่เคยเป็นรองไทยในอุตสาหกรรมรุ่นเก่า ขณะนี้กลับนำไทยในอุตสาหกรรมใหม่ ๆ