นายชูรัตน์ จึงธนสมบูรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชูวิทย์ฟาร์ม (2019) จำกัด (มหาชน) หรือ CFARM เปิดเผยว่า ประเมินภาพรวมธุรกิจในช่วงไตรมาส 2/2567 คาดว่าจะมีการเติบโตที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2567 ที่มีกำไรในระดับน้อย เนื่องจากในไตรมาสที่สองจะมีการรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากไก่ที่ข้ามรุ่นมาเติบโตเต็มที่ในไตรมาส 2/2567 จำนวนมาก ทำให้ปริมาณขายของบริษัทมีแนวโน้มที่ดีขึ้นตามไปด้วย
ทั้งนี้ ในปี 2567 แม้ว่ากำลังการผลิตไก่จะยังอยู่ในระดับเดิม แต่บริษัทมั่นใจว่ารายได้รวมจะเติบโตได้มากกว่าปี 2566 ที่มีรายได้รวม 240.99 ล้านบาท เนื่องจากประสิทธิภาพในการบริหารที่ดีขึ้นกว่าปีก่อน ทั้งอัตราการเลี้ยงรอดที่อยู่ในระดับมาตรฐาน 96.5% (ในอดีตเคยทำได้สูงสุดที่ระดับ 97%) ซึ่งเป็นระดับที่สูงสุดของสิ่งมีชีวิตแล้ว
นอกจากนี้ บริษัทจะยังคงความสามารถในการดูแลให้ไก่มีน้ำหนักตัวที่มากขึ้น และคาดว่าจะคงความสามารถในการรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิให้ดีขึ้นกว่าค่าเฉลี่ยในออีตที่เคยทำได้ราว 22% และ 10-12% ตามลำดับ
พร้อมกันนี้ ปัจจุบันบริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจา เพื่อรับสัญญาจากผู้ประกอบการรายใหม่เพิ่มเติม เบื้องต้นจะพิจารณาตามความต้องการของตลาด(ดีมานด์) และสัญญาที่ให้กำไรกับทาง CFARM ได้มากที่สุด หรือเหมาะสมที่สุดเท่านั้น อีกทั้งอยู่ระหว่างการศึกษาก่อสร้างฟาร์มใหม่ 2 แห่ง ในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งแต่ละฟาร์มจะมีงบลงทุน และขนาดต่างกันไป เช่น ขนาด 400,000 ตัวต่อฟาร์มต่อรอบ (70 วัน) เป็นต้น
สำหรับราคาหุ้น CFARM วันนี้ (6 มิ.ย. 67) ที่ได้เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เป็นวันแรก ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนทำให้ราคาเปิดตลาดฯ ปรับตัวขึ้นที่ระดับ 1.55 บาท เหนือราคาไอพีโอที่ 1.35 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท หรือราว 14.81% บริษัทดีใจและพอใจเป็นอย่างมากกับกระแสที่ออกมาดีอย่างน่าประทับใจ หลังจากเข้าตลาดหุ้นบริษัทจะมุ่งเดินหน้าขยายธุรกิจให้ได้ตามแผนงานที่ให้ไว้กับรักลงทุน และสร้างการเติบโตต่อเนื่องอย่างยั่งยืนต่อไป
ส่วนเงินที่ได้จากการระดมทุนขายหุ้นไอพีโอในครี้งนี้ CFARM จะนำเงินไปลงทุน 1. ก่อสร้างฟาร์ม ปรับปรุงโรงเรือน อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจฟาร์มปศุสัตว์ จำนวน 156.62 ล้านบาท ภายในปี 2569 ซึ่งปัจจุบันมีที่ดินรองรับการพัฒนาและขยายธุรกิจได้ทันทีกว่า 1,000 ไร่ 2. ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ 20 ล้านบาท ภายในปี 2568 และ 3. ใช้คืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินบางส่วน จำนวน 15 ล้านบาท ภายในปี 2567