กสิกรไทย อวดกำไรไตรมาสแรก 13,486 ล้าน โต 25% ตั้งสำรอง 11,684 ล้าน

22 เม.ย. 2567 | 02:29 น.

กสิกรไทย เผยงบไตรมาส 1/67 กำไรสุทธิ 13,486 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 25.55% และโต 43.65% QoQ มาจากการเติบโตของรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ และ NIM สูงอัตรา 3.7% ตั้งสำรอง ฯ แล้ว 11,684 ล้านบาท

นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK) กล่าวว่า ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและภาษีเงินได้ในไตรมาส 1/67 จำนวน 29,439 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.93% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากการเติบโตของรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ การบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอย่างคุ้มค่า และการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน

ในไตรมาสนี้ธนาคารพิจารณาตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected credit loss : ECL) จำนวน 11,684 ล้านบาท โดยธนาคารยังคงยึดหลักความระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สำรองฯอยู่ในระดับที่เหมาะสมเพียงพอ สะท้อนสถานการณ์ในปัจจุบัน และรองรับความไม่แน่นอนของปัจจัยต่าง ๆ ที่อาจจะส่งผลต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ

อ่านเพิ่ม : GULF โผล่ถือหุ้นใหญ่ KBANK อันดับ 14 ผู้บริหารชี้แค่ลงทุนปกติ กสิกรไทย อวดกำไรไตรมาสแรก 13,486 ล้าน โต 25% ตั้งสำรอง 11,684 ล้าน

 

ส่งผลให้กำไรสุทธิในไตรมาสนี้มีจำนวน 13,486 ล้านบาท จาก 10,741 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน  หรือกำไรเพิ่มขึ้นจำนวน 2,745 ล้านบาท หรือ 25.55%  (YoY) และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน (QoQ) จำนวน 4,098 ล้านบาท หรือ 43.65% จากไตรมาส 4/66 ที่มีกำไรสุทธิ 9,388 ล้านบาท 


 

โดยในไตรมาส 1 ปี 2567 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและภาษีเงินได้จำนวน 29,439 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.93% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน หลัก ๆ มาจากการเติบโตของรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ การบริหาร จัดการค่าใช้จ่ายอย่างคุ้มค่า และการเพิ่มระสิทธิภาพในการดำเนินงาน

ธนาคาร ฯ มีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิมีจำนวน 38,528 ล้านบาท ลดลงจำนวน 321 ล้านบาท หรือ 0.82% โดยมีอัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (Net interest
margin : NIM) อยู่ที่ระดับ 3.7% เป็นไปตามภาวะตลาด

นอกจากนี้ รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิมีจำนวน 8,299 ล้านบาท หลัก ๆ จากการเติบโตของค่าธรรมนียมรับจากการจัดการกองทุน ค่าธรรมเนียมรับจากการรับรองตั๋ว อาวัล และค้ำประกัน และค่าธรรมเนียมรับจากธุรกิจบัตร รวมราชได้จากการคำเนินงานสุทธิมีจำนวน 50,152 ล้านบาท เติบโต 7.68% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 

สำหรับค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานมีจำนวน 20,713 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.65% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน หลักๆ เป็นการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับรายได้ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ (Cost to income ratio) อยู่ที่ระดับ 41.30% ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ระดับ 42.50%

 

ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 ธนาคารและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวมจำนวน 4,318,809 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2566 จำนวน 35,253 ล้านบาท หรือ 0.82% ส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นจากเงินลงทุนในตราสารทางการเงินเพิ่มตามการคาดการณ์ทิศทางอัตราดอกเบี้ย

อย่างไรก็ตาม เงินให้สินเชื่อสุทธิลดลงตามภาระตลาด ทั้งนี้ เงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (SNPL gros>)
อยู่ที่ระดับ 3.19% และค่าเผื่อผลขาดทุนค้านเครดิดที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อค้อยคุณภาพ (Coverage ratio) อยู่ที่ระดับ150.35% สำหรับอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์เสี่ยงของกลุ่มธุรกิจทางการเงินธนาการกสิกร ไทยตามหลักเกณฑ์ Base!  ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 ยังคงมีความแข็งแกร่งอยู่ที่ 19.37%

สำหรับภาวะเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1/67 ยังคงเผชิญข้อจำกัดในการฟื้นตัว เพราะแม้จะมีแรงหนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกสินค้า แต่การผลิตภาคอุตสาหกรรมยังคงหดตัวลงอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับผลผลิตสินค้าเกษตรที่ลดลงจากผลกระทบของปัญหาภัยแล้ง ขณะที่การใช้จ่ายภายในประเทศขยายตัวแต่ในอัตราที่ชะลอลงทั้งในส่วนของภาครัฐและเอกชน สำหรับแนวโน้มในช่วงที่เหลือของปี 67 มองว่าเศรษฐกิจไทยอาจประคองเส้นทางการฟื้นตัวได้ดีขึ้น หากภาคการท่องเที่ยวยังคงขยายตัว และมีแรงหนุนเพิ่มเติมจากการกลับมาเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ และมาตรการอื่นๆของภาครัฐ

ท่ามกลางความท้าทายของปัจจัยต่างๆในปีนี้ธนาคารกสิกรไทยได้วางยุทธศาสตร์ 3+1 โดยการเพิ่มประสิทธิภาพการเติบโตด้านสินเชื่ออย่างมีคุณภาพภายใต้การบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม การขยายธุรกิจรายได้ค่าธรรมเนียม การเสริมสร้างความแข็งแกร่งของช่องทางการให้บริการ การแสวงหารายได้ใหม่ในระยะกลางและระยะยาว รวมถึงการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อส่งมอบคุณค่าที่ยั่งยืนให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย ทั้งลูกค้า ผู้ถือหุ้น พนักงาน หน่วยงานกำกับดูแล และสังคม ภายใต้บริบทของเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอน