EURO เข้าตลาด mai วันแรก ผู้ถือหุ้นเดิมยอมติดไซเรนพีเรียด งดขายหุ้น1ปี

14 ก.พ. 2567 | 06:03 น.

บริษัท ยูโร ครีเอชั่นส์ จำกัด (มหาชน) หรือ EURO เปิดวันแรกราคาต่ำจอง 8.49% จากราคา IPO 10.60 บาท ชี้ธุรกิจยังมีแนวโน้มดี ลูกค้าเป้าหมายหลักเป็นกลุ่มมีกำลังซื้อ ผู้ถือหุ้นเดิมยอมติดไซเรนพีเรียด งดขายหุ้น 12 เดือน สร้างความเชื่อมั่น วางเป้าหมายรายได้ปี 67 โต 10-20% จากปีก่อน

บริษัท ยูโร ครีเอชั่นส์ จำกัด (มหาชน) หรือ EURO วันนี้ (14 ก.พ.67) เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เป็นวันแรก โดยราคาเปิดตลาดอยู่ที่ระดับ 9.70 บาท ปรับตัวลดลง 0.90 บาท หรือ 8.49% จากราคาเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ที่ระดับ 10.60 บาท มูลค่าการซื้อขายที่ 52 ล้านบาท ทั้งนี้ EURO มีมูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท ซึ่งการเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้ที่จำนวน 78 ล้านหุ้น

นายเควิน กัมบีร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยูโร ครีเอชั่นส์ จำกัด (มหาชน) หรือ EURO เปิดเผยว่า ราคาเปิดการซื้อขายในวันนี้ (14 ก.พ.67) เป็นไปตามกลไกของตลาดฯ และอาจยังไม่ได้สะท้อนถึงแนวโน้มผลการดำเนินงานและธุรกิจของบริษัท มองว่าอีกปัจจัยหนึ่งคือ นักลงทุนยังไม่ค่อยเข้าใจถึงธุรกิจดีนัก ทำให้อาจยังมีความสงสัยอยู่ แต่อยากให้เชื่อมั่นว่าธุรกิจยังคงมีการเติบโตที่ดี กลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักเป็นกลุ่มระดับบน (High-end) มีกำลังซื้อ และมีแนวโน้มในการซื้อซ้ำอยู่มาก

และเพื่อตอกย้ำความมั่นใจให้กับนักลงทุน ทางกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมสมัครใจทำข้อตกลงไม่จำหน่ายหุ้นส่วนที่เหลือจากการติด Silent Period เป็นระยะเวลา 12 เดือน ให้ความมั่นใจพร้อมสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องตามแนวทางที่เป็นวิสัยทัศน์อันเข้มแข็งขององค์กร นับจากวันที่หุ้นของบริษัทเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ เป็นวันแรก ขณธที่แนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2567 มีการเติบโตที่ดี โดยวางเป้าหมายการเติบโตของรายได้รวมไว้ที่ไม่น้อยกว่า 10-20% จากปีก่อน

โดย EURO เป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญธุรกิจ “Luxurious & High Quality Living” ตัวแทนนำเข้าและจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการสำหรับสินค้าแบรนด์ชั้นนำระดับลักชัวรี่ที่หลากหลาย ครอบคลุมเฟอร์นิเจอร์ สินค้าตกแต่ง อุปกรณ์ฟิตเนส และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์สำหรับห้องน้ำ โคมไฟและอุปกรณ์ควบคุมอัจฉริยะ วัสดุปูพื้น รวม 29 แบรนด์ พร้อมบริการตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบจนถึงบริการหลังการขายอย่างครบวงจรแบบวันสต็อปโซลูชั่น ซึ่งในช่วงกลางปี 2567 จะเห็นการเปิดตัวแบรนด์ใหม่เพิ่มอีกอย่างน้อย 1 แบรนด์

มุ่งเน้นขยายผลิตภัณฑ์และตลาดใหม่ที่มีศักยภาพสูง ได้แก่ 1) การเจาะตลาดจากผลิตภัณฑ์ในปัจจุบัน ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเพื่อเพิ่มศักยภาพการขายและการทำตลาด รวมถึงนำเสนอบริการที่ดีที่สุดเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าแต่ละราย 2) ขยายตลาดไปยังพื้นที่ใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น ภูเก็ต ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวชั้นนำที่มีโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรี่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง 3) เพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าเดิมได้ดียิ่งขึ้น

และ 4) คัดสรรผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อขยายฐานลูกค้าระดับพรีเมียมและขยายสินค้าใหม่กลุ่มเฟอร์นิเจอร์สำนักงานตอบสนองกลุ่มลูกค้าทั่วไป (B2C) ที่ปรับรูปแบบมาทำงานที่บ้านเพิ่มขึ้น รวมถึงลูกค้าผู้ประกอบการ (B2B) เช่น ผู้พัฒนาอาคารสำนักงาน, โครงการอสังหาฯ แบบมิกซ์ยูส เป็นต้น ทั้งนี้ สัดส่วนลูกค้า B2C คิดเป็นสัดส่วนหลักมากกว่า 70% ขณะที่ B2B เป็นส่วนเสริมเพื่อกระจายพอร์ตของบริษัท มีสัดส่วนการขายอยู่ที่ประมาณ 30%

แผนการใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อไปรองรับในการก่อสร้างโชว์รูม Euro Creations 3 แห่ง ได้แก่ สาขาภูเก็ต (Euro Creations Flagship Gallery at Phuket) ซึ่งคาดว่าจะเปิดบริการภายในไตรมาส 1/2567 เร็วกว่าที่คาดไว้, สาขาทองหล่อ ซอย 5 (Euro Creations Gallery at Thonglor Soi 5) ที่คาดว่าจะเปิดบริการไตรมาส 2/2567 และสาขาทองหล่อ ซอย 1 (Euro Creations Gallery at Thonglor Soi 1) ที่คาดว่าจะเปิดบริการไตรมาส 4/2569

จากปัจจุบันมีโชว์รูม 5 แห่ง ได้แก่ Euro Creations Flagship Gallery at Thonglor, Natuzzi Italia at Siam Paragon, Euro Creations Gallery at Crystal Design Center, Technogym Flagship Showroom at Ekamai และ Technogym Showroom at Central Embassyรวมไปถึงนำเงินที่ได้มาไปชำระเงินกู้จากสถาบันการเงิน เพื่อก่อสร้างโชว์รูมใหม่และชำระเงินกู้ยืมระยะสั้นที่ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ตลอดจนเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการและการขยายธุรกิจ

ภาพรวมผลการดำเนินงานบริษัทปี 2563-2565 เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้จากการขายและบริการ อยู่ที่ 776.59 ล้านบาท, 829.49 ล้านบาท และ 1,047.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.81% และ 26.33% ตามลำดับ และมีกำไรสุทธิ 105.49 ล้านบาท 121.66 ล้านบาท และ 135.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.33% และ 11.71% ตามลำดับ ส่วนในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 บริษัทมีรายได้จากการขายและบริการ 958.2 ล้านบาท และกำไรสุทธิ138.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33% และ 44.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนตามลำดับ โดยสัดส่วนรายได้มาจากลูกค้ารายย่อย (B2C) ประมาณ 70% และลูกค้าโครงการ (B2B) ประมาณ 30%

EURO เข้าตลาด mai วันแรก ผู้ถือหุ้นเดิมยอมติดไซเรนพีเรียด งดขายหุ้น1ปี