กูรูชี้หุ้นไทยเหมือนคนป่วย ถูกหั่น EPS เหลือ 97 บาท กดดันฟันด์โฟลว์ไหลออก

26 ม.ค. 2567 | 06:05 น.
อัปเดตล่าสุด :26 ม.ค. 2567 | 06:08 น.

แม่ทัพใหญ่ "พจน์ หะริณสุต" มองฟันด์โฟลว์ไหลออกต่อเนื่อง จาก EPS บจ. ไทยถูกหั่นเหลือ 97 บาท/หุ้น ตั้งความหวังรอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐมาช่วย ชี้ดิจิทัลวอลเล็ตอาจสร้างผลกระทบวงกว้างสถาบันต่างชาติลดอันดับเครดิตเรตติ้งไทย แนะลงทุนในตลาดหุ้นไทย 10%

นายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วรรณ จำกัด เปิดเผยว่า ประเมินภาพรวมตลาดหุ้นไทยยังคงมีความผันผวน จากเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2567 ดัชนีสามารถพลิกกลับมาเป็นบวกกว่า 20 จุดได้ จากปัจจัยการเมือง แต่เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2567 ตลาดหุ้นไทยก็กลับมาปรับตัวลงอีกครั้ง ซึ่งมองว่ายังมีปัจจัยกดดันจากนักลงทุนต่างชาติที่ยังขายหุ้นไทยต่อเนื่องจากปีก่อนที่ขายสุทธิ 1.92 แสนล้านบาท โดยรวม 10 ปีที่ผ่านมา ต่างชาติขายหุ้นไทยออกไปแล้วกว่า 9 แสนล้านบาท

ส่วนหนึ่งมาจากการที่กำไรต่อหุ้น (EPS) ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยถูกปรับลงเหลือ 97 บาท/หุ้น จาก 102 บาท/หุ้น ประกอบกับยังคงรอการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มาจากการลงทุนภาครัฐที่รอการผลักดันออกมา ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะเข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้อย่างดี หลังจากที่ภาคการท่องเที่ยวได้ฟื้นกลับมาดีแล้ว แต่ยังขาดแรงขับเคลื่อนจากการลงทุนของภาครัฐที่เป็นปัจจัยหนุน

 

ฟันด์โฟลว์ไหลออก 2.04 พันล้าน เปิดดัชนีSETร่วงไป 2.45% นับตั้งแต่ต้นปี

ดัชนีSET ปิดตลาด ร่วง 5.10 จุด การเมืองกระทบความเชื่อมั่น

ดัชนีSET ร่วง 5.49 จุด มูลค่า 22,731.07 ล้าน

"หุ้นไทยเหมือนคนป่วย จากที่เห็นเมื่อวานปรับขึ้นมา 20 กว่าจุดจากข่าวการเมือง วันนี้ก็กลับมาลง ต่างชาติก็ยังขายออก เพราะเราถูกปรับ EPS ลงจาก 102 บาท/หุ้น มาเป็น 97 บาท/หุ้น และการลงทุนภาครัฐที่จะมากระตุ้นเศรษฐกิจก็ยังไม่ออกมา แต่เชื่อว่าลงมารอบนี้ก็อาจจะไม่หลุด 1,300 จุด ซึ่งยังเห็นว่าตอนนี้ดัชนียังยืนได้ ส่วนกรอบบนก็ปรับมาที่ 1,580 จุด ในสิ้นปีนี้ จากที่คาดไว้ 1,600 จุด" นายพจน์ กล่าว


สำหรับการกระตุ้นการบริโภคในประเทศผ่านโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท มองว่าเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจแค่ในระยะสั้นเพียงครั้งเดียว และมีความเสี่ยงต่อการเพิ่มหนี้สาธารณะของไทยสูงขึ้น เพราะต้องมีการหาแหล่งเงินทุนจากการกู้ยืมสถาบันการเงิน ซึ่งจะส่งผลต่อการที่สถาบันจากต่างชาติจะลดอันดับเครดิตเรตติ้งของประเทศไทยลง จากหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น กระทบต่อความสามารถในการชำระคีนหนี้ของประเทศไทย และส่งผลตามมาต่อการที่ธุรกิจในประเทศจะต้องมีต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น จากการถูกลดอันดับเครดิตเรตติ้งของประเทศ ทำให้การกู้ยืมเงินมาลงทุนของภาคธุรกิจในประเทศจะต้องมีดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกำไรบริษัทจดทะเบียนที่จะถูกปรับลดลงได้อีก

โดยที่สัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นไทยแนะนำให้มีสัดส่วนการลงทุนที่ 10% ของพอร์ตการลงทุนในหุ้น และอาจจะเพิ่มการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกที่อยู่ในลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะกองทุนอสังหาริมทรัพย์ และกองทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ในปีก่อนราคาได้ปรับลดลงมาราว 30% ทำให้นักลงทุนจะสามารถเข้าลงทุน และได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูงในระดับ 8-9% และการที่ดอกเบี้ยผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ทำให้แรงกดดันของผลตอบแทนจากกองทุนอสังหาริมทรัพย์และกองทุนโครงสร้างพื้นฐานผ่อนคลายลง โดยแนะนำ 2 กองทุนที่มองว่ามีความน่าสนใจ ได้แก่ CPNREIT และ DIF ซึ่งสามารถมีสัดส่วนการลงทุนได้ราว 15%

ส่วนประเด็นด้านความกังวลในเรื่องของความเสี่ยงตลาดหุ้นกู้ของไทย ที่กระทบต่อความมั่นใจในการลงทุนของนักลงทุน แต่มองว่าหุ้นกู้ที่ในไทยที่เกิดการ Default คิดเป็นมูลค่าเพียง 1% ของทั้งตลาด ทำให้ไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมทั้งอุตสาหกรรม และบางธุรกิจเป็นเพียงแค่การ Delay ขอขยายระยะเวลาการชำระคืนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดออกไป เช่น ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ที่งานอาจจะส่งมอบล่าช้าไปปีหน้า ก็ขอขยายระยะเวลาการชำระคืนเงินต้นออกไป แต่ยังคงจ่ายดอกเบี้ยตามปกติ ซึ่งไม่ได้มีผลกระทบมาก

โดยการลงทุนในตราสารหนี้ไทยยังคงแนะนำให้ลงทุนในตลาดสารหนี้ที่เป็น Investment Grade และหลีกเลี่ยง High Yield Bond ส่วนหากนักลงทุนอยากลงทุน High Yield Bond แนะนำให้ลงทุนใน High Yield Bond ของสหรัฐ ซึ่งยังมีความน่าสนใจมากกว่า และมีความเสี่ยงที่ยังไม่สูงมาก ที่จะเห็นได้จากดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐยังคงเดินหน้าทำ All time high สะท้อนภาพเศรษฐกิจสหรัฐและกำไรบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐที่แข็งแกร่งและยังเห็นการเติบโตที่ต่อเนื่อง

ส่วนตลาดหุ้นจีนมองว่ายังมีความน่าเป็นห่วง แม้ว่า GDP จะโตได้ 5% แต่หุ้นจีนไม่ได้ขึ้นเลย และปรับตัวลงมาแรง ซึ่งยังมีความกังวลในเรื่องของ Domino effect จากภาคธุรกิจขนาดใหญ่ของจีนที่ยังมีโอกาสล้มได้ ซึ่งการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียมองว่าตลาดหุ้นที่ยังน่าสนใจลงทุนในภูมิภลคเอเชีย ได้แก่ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ตลาดหุ้นอินเดีย หรือตลาดหุ้นเวียดนาม ประกอบกับการหาโอกาสในการเข้าลงทุนหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี A.I. เพื่อคว้าโอกาสในการสร้างผลตอบแทนตามเทรนด์ของโลก