สมาคมตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) รายงานแผนการระดมทุนของรัฐบาลในปีงบประมาณ 2567 รวมทั้งสิ้น 2.43 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.9 แสนล้านบาท หรือ 8.9% จากปีงบประมาณ 2566 โดยส่วนใหญ่จะระดมทุนด้วยการออกพันธบัตรรัฐบาล (บอนด์)ถึง 1.25 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.6 แสนล้านบาท หรือ 14.67% จากปีงบประมาณ 2566 และตั๋วสัญญาใช้เงิน (PN) 4.03 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.02 แสนล้านบาท หรือ 33.78% จากปีงบประมาณ 2566
ขณะที่การระดมทุนด้วยการออกพันธบัตรออมทรัพย์จะลดลง 30,000 ล้านบาทเหลือ 1 แสนล้านบาทหรือลดลง 23.07% จากปีงบประมาณ 2566 และกู้ยืมต่างประเทศเหลือ 19,682 ล้านบาท ลดลง 13,903 ล้านบาทหรือ 41.39% รวมถึงการออกตั๋วเงินคลัง (TB) 5.2 แสนล้านบาท ลดลง 2 หมื่นล้านบาทหรือ 3.7% จากปีงบประมาณ 2566
ดร.สมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เปิดเผยว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (บอนด์ยีลด์) ช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2566 ปรับตัวขึ้นทุกช่วงอายุ โดยมีความชันลดลงจากการปรับเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากของบอนด์ยีลระยะสั้นที่เพิ่มขึ้นตามการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยขึ้น 5 ครั้งในปี 2566
ขณะเดียวกัน การประกาศแผนการออกพันธบัตรรัฐบาลในปีงบประมาณ 2567 ประกอบกับเริ่มมีความชัดเจนในนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลหลายโครงการ ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยีลด์) ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเดือนสุดท้ายของไตรมาส 3 โดยบอนด์ยีลด์ไทยรุ่นอายุ 2 ปี ปรับตัวสูงขึ้น 0.90% จากสิ้นปีที่แล้วมาอยู่ที่ 2.54% ส่วนอายุ 10 ปี ปรับตัวสูงขึ้น 0.54% มาอยู่ที่ 3.18% ณ สิ้นไตรมาส 3
ส่วนบอนด์ยีลด์หุ้นกู้เอกชน อายุ 5 ปีของหุ้นกู้ทุกอันดับเครดิตปรับตัวสูงขึ้น 0.64-0.87% ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2566 ใกล้เคียงกับการปรับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล โดย ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2566 อันดับเครดิต AAA ปรับตัวมาอยู่ที่ 3.48% AA ที่ 3.73% A ที่ 3.94% BBB+ ที่ 4.95% และ BBB ที่ 5.90%
อย่างไรก็ตาม แม้อัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในทิศทางขาขึ้นมาตลอดตั้งแต่ต้นปี ทำให้ต้นทุนทางการเงินปรับตัวขึ้นมากจนบริษัทเอกชนที่เปราะบางบางรายเกิดปัญหาในการชำระหนี้คืน แต่ตลาดตราสารหนี้ไทยยังคงขยายตัวได้ 5.8% ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2566 โดยมีีมูลค่ารวม 16.7 ล้านล้านบาท คิดเป็น 96% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) แต่ยังต่ำกว่าการระดมทุนด้วยการขายหุ้นสามาัญ ที่มีมูลค่า 18 ล้านล้านบาทคิดเป็น 104% ของจีดีพีและเงินให้สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ 18.3 ล้านล้านบาท คิดเป็น 105% ของจีดีพี
ส่วนการระดมทุนภาคเอกชนพบว่า ช่วง 9 เดือนแรก ปี 2566 เอกชนมีการออกหุ้นกู้ระยะยาว 8.24 แสนล้านบาท คิดเป็น 65% ของมูลค่าการออกทั้งปี 2565 มูลค่า 1.27 ล้านล้านบาท โดยภาคเอกชนที่มีอันดับเครดิตสูงยังสามารถออกและเสนอขายหุ้นกู้ได้ตามที่ต้องการ ขณะที่ผู้ออกบางส่วนได้ชะลอการออกหุ้นกู้ไปก่อนเพื่อรอจังหวะตลาดและอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการออกสูงสุดคือ กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ ตามมาด้วยกลุ่มพลังงาน กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มธนาคาร
สำหรับหุ้นกู้ระยะยาวของเอกชนมูลค่า 8.24 แสนล้านบาทนั้นเป็นหุ้นกู้ที่เป็น Investment grade 742,895 ล้านบาท และหุ้นกู้ High yeild 81,662 ล้านบาทและคาดว่า ยอดการออกหุ้นกู้ระยะยาวทั้งปี 2566 มีโอกาสแตะที่ระดับ 1 ล้านล้านบาท สูงกว่ายอดการออกเฉลี่ยในช่วง 7 ปี (ปี 2559-2565) ที่ 9.5 แสนล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ในแง่กระแสเงินลงทุนจากต่างประเทศ (Fund flow)ของนักลงทุนต่างชาติพบว่า มียอดการขายสุทธิตราสารหนี้ไทยติดต่อกันใน 3 ไตรมาสแรก ทำให้มียอดการขายสุทธิสะสม 1.5 แสนล้านบาท การถือครองตราสารหนี้ไทยของนักลงทุนต่างชาติ ณ สิ้นไตรมาส 3 มียอดรวมที่ 9.4 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 5.6% ของมูลค่าคงค้างตลาดตราสารหนี้ไทย โดยตราสารหนี้ไทยที่ต่างชาติถือครองมีอายุคงเหลือเฉลี่ยที่ 8.3 ปี เพิ่มขึ้นจาก 8.0 ปี เมื่อ ณ สิ้นปี 2565
ดร.สมจินต์ยังกล่าวถึงผลการสำรวจการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยของผู้ร่วมตลาดที่ส่วนใหญ่คาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.50% ในการประชุมครั้งสุดท้ายของปีในเดือนพฤศจิกายนนี้
ขณะที่บอนด์ยีลด์รุ่นอายุ 5 ปี และ 10 ปี ผู้ตอบแบบสอบถามคาดว่า จะมีการปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 0.10-0.15% จาก ณ สิ้นไตรมาส 3 ขึ้นไปที่ 2.94% สำหรับรุ่นอายุ 5 ปี และขึ้นไปที่ 3.29% สำหรับรุ่นอายุ 10 ปี ในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ ตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ และอุปสงค์-อุปทานของตลาดตราสารหนี้ไทย
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,929 วันที่ 8 - 11 ตุลาคม พ.ศ. 2566