หุ้น KCG ปิดเทรดวันแรก 8.30 บาท ต่ำจอง 2.35% โบรกชี้เป้าที่ 12 บาท

03 ส.ค. 2566 | 11:01 น.
อัปเดตล่าสุด :03 ส.ค. 2566 | 11:01 น.

หุ้นบริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) "KCG" เจ้าของคุกกี้กล่องแดง "อิมพีเรียล" เข้าเทรดวันแรกปิดตลาดราคาต่ำกว่าจอง 2.35% ปิดที่ 8.30 บาท จากราคา IPO ที่ 8.50 บาท โบรกยังให้ราคาแนะนำที่ 12 บาท

(3 ส.ค. 66) หุ้นบริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KCG ปิดเทรดวันแรกที่ 8.30 บาท ลดลง 0.20 บาท (-2.35%)จากราคา IPO ที่ 8.50 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 1,481.48 ล้านบาท จากราคาเปิดตลาด 8.55 บาท โดยระหว่างวันมีราคาสูงสุดที่ 8.90 บาท และราคาต่ำสุดที่ 7.90 บาท

บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง (ที่ปรึกษาทางการเงิน และ ผู้จัดการการจัดจำหน่าย และรับประกันการจำหน่าย) ระบุว่า KCG เข้าซื้อขายวันแรก (1st Day trade) เริ่มต้นให้คำแนะนำซื้อ KCG ด้วยราคาเป้าหมาย 12 บาท โดยมองว่า KCG เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมกว่า 60 ปี

ดัชนีราคาหุ้น KCG

ด้วยส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 และยังได้เปรียบในการแข่งขันได้ดีกว่า ด้วยโครงสร้างธุรกิจ การกระจายสินค้า และตัวสินค้าที่เป็นผู้นำตลาด หลังพ้นวิกฤติ กำไรกลับมายืนเหนือ pre-COVID ได้อย่างรวดเร็ว

รวมทั้งธุรกิจอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตสูง จากร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านขนมต่างๆ พร้อมคาดกำไรเติบโตเฉลี่ย 20% สำหรับปี 2023-25 จาก organic growth, สินค้าใหม่, ขยายกำลังการผลิต และการขยายตัวของ GPM จากราคาวัตถุดิบลดลงและประสิทธิภาพการผลิตดีขึ้น

รวมทั้งมี Valuation ไม่แพง โดยคิดจาก PEG โดยใช้ PER ปี 2024 เทียบการเติบโตของกำไร 20% CAGR ปี 2024-25 ได้ PEG ที่ 0.89 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PEG ของกลุ่มอาหารและวัตถุดิบด้านอาหาร ที่ 0.97 เท่า

ด้านนายวาทิต ตมะวิโมกษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ  KCG กล่าวว่า ทางบริษัทวางแผนขยายการลงทุนในปี 66-67 โดยมุ่งลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิตชีส (Individually Wrapped Processed Cheese Slices) จากเดิม 2,106 ตันต่อปี ให้เพิ่มเป็น 4,212 ตันต่อปีภายในปีนี้

และจะขยายกำลังการผลิตเนยที่โรงงานเทพารักษ์ จากในปัจจุบัน 18,596 ตันต่อปี ให้เพิ่มเป็น 23,261 ตันต่อปี ภายในปี 2567 รวมถึงลงทุนเครื่องจักรใหม่และปรับพื้นที่สร้างห้องปลอดเชื้อที่โรงงานบางพลี

นอกจากนี้ บริษัทจะลงทุนก่อสร้างและพัฒนาศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้า (KCG Logistics Park) โดยเป็นศูนย์กระจายสินค้าแบบแช่แข็ง (Frozen) และแบบอุณหภูมิห้อง (Ambient)  ซึ่งเป็นคลังสินค้าที่มีความทันสมัยและครบวงจร

รวมทั้งวางแผนการนำเทคโนโลยีระบบอัตโนมัติ (Automation) มาพัฒนาโรงงานสู่การผลิตระบบอัตโนมัติอย่างเต็มรูปแบบในอนาคต ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงปี 67