48 ปีตลาดหุ้นไทย สร้างผลตอบแทนรวมปีละ 12.08%

22 พ.ค. 2566 | 19:56 น.

กว่า 48 ปีที่ตลาดหุ้นไทย เป็นกลไกสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ สำหรับตลาด SET Index และตลาด mai ปัจจุบันมีมูลค่าอยู่ที่ 20.93 ล้านล้านบาท รวมทั้งให้ผลตอบแทนรวมปีละ 12.08% นับตั้งแต่ปี 2545

นายศิริยศ จุฑานนท์ และนายฉัตรชัย ทิศาดลดิลก ฝ่ายวิจัย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จัดทำรายงาน 48 ปี ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยในรายงานระบุว่า ตลาดทุนนับเป็นกลไกสำคัญในระบบเศรษฐกิจ

รวมทั้งที่ผ่านมาตลาดทุนไทยสามารถปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงและฟื้นตัวจากสถานการณ์ต่างๆ ได้ค่อนข้างดี สะท้อนภาพการฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด

และความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่เริ่มส่งสัญญาณการเปลี่ยนทิศทางในหลายๆ

ทั้งนี้หากพิจารณาถึงผลตอบแทนรวมหรือ Total Return ของ SET Index นับตั้งแต่ปี 2545 ก็มีการเติบโตได้ปีละ 12.08% อีกทั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังมีสภาพคล่องในการซื้อขายสูงสุดในอาเซียนต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2555 โดยในปี 2565 มีมูลค่าการซื้อขายหุ้นเฉลี่ย 76,773 ล้านบาทต่อวัน โดยเติบโตเฉลี่ยปีละ 23.30%

โดยในปี 2565 ขนาดของตลาดหุ้นไทย ซึ่งวัดโดยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) ของ SET Index และ mai มีมูลค่าอยู่ที่ 20.93 ล้านล้านบาท โดยเติบโตเฉลี่ยปีละ 19.22% นับตั้งแต่มีการจัดตั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ

ตลาดทุนและตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้มีบทบาทในระบบเศรษฐกิจมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะภายหลังวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 เป็นต้นมา

โดยมีสัดส่วนมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) ต่อ GDP ที่เติบโตมาอย่างต่อเนื่อง และสูงถึง 121% ในปี 2565 สะท้อนภาพรวมของพัฒนาการและความสำคัญของตลาดหลักทรัพย์ต่อระบบเศรษฐกิจที่มีมากขึ้น

ภาพประกอบ การเติบโตที่ผ่านมาของ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ มีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง และได้เติบโตขึ้นในหลายมิติ ทั้ง ขนาดของตลาดโดยรวม สภาพคล่องการซื้อขาย ปริมาณการระดมทุน การขยายฐานนักลงทุนที่หลากหลาย รวมทั้งความโดดเด่นและได้รับการยอมรับในเรื่องความยั่งยืน

โดยดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือ SET Index ก็ได้มีการเคลื่อนไหวและพัฒนาไปตามสภาวะเศรษฐกิจและปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศและอยู่ที่ 1,668.66 จุด เมื่อสิ้นปี 2565 โดยเติบโตเฉลี่ยปีละ 6.56%

ในด้านการลงทุนและฐานนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็มีแนวโน้มเติบโตและมีมูลค่าการซื้อขายที่กระจายตัวในหลายกลุ่มผู้ลงทุน

การซื้อขายหลักทรัพย์รวมของ SET และ mai แยกตามประเภทผู้ลงทุนในปี 2565 ประกอบด้วย

  1. ผู้ลงทุนบุคคลในประเทศมีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 29,957 ล้านบาท คิดเป็น 39.02% ของมูลค่าการซื้อขายรวม
  2. ผู้ลงทุนต่างประเทศมีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 34,978 ล้านบาท คิดเป็น 45.56%
  3. ผู้ลงทุนสถาบันในประเทศมีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 5,723 ล้านบาท คิดเป็น 7.45%
  4. บัญชีบริษัทหลักทรัพย์มีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 6,115 ล้านบาท คิดเป็น 7.96% ในด้านฐานผู้ลงทุน ทั้งนี้จำนวนบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ยังคงเพิ่มขึ้นและทำสถิติสูงสุดอย่างต่อเนื่อง

สำหรับจำนวนบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์เมื่อสิ้นปี 2565 มีจำนวนทั้งสิ้น 5,848,429 บัญชี เพิ่มขึ้น 12.01% จากสิ้นปี 2564 และมูลค่าการซื้อขายทางอินเทอร์เน็ตของผู้ลงทุนบุคคลเฉลี่ยทั้งปี 2565 อยู่ที่ 78.08% ของมูลค่าการซื้อขายรวมของผู้ลงทุนบุคคล

สะท้อนภาพการพัฒนากระบวนการ Digitalization ในตลาดทุน และช่วยส่งเสริมสภาพคล่องในการซื้อขาย

ขณะที่ผลิตภัณฑ์การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้รับการพัฒนาและมีความหลากหลายมากขึ้นเรื่อย ๆ เปิดโอกาสและเชื่อมโยงการลงทุนในรูปแบบต่างๆ

ซึ่งในปี 2565 ตลาดหลักทรัพย์ ยังได้พัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนใหม่ ๆ เพื่อขยายโอกาสในการลงทุนที่ใช้เงินลงทุนจำนวนไม่มาก ในการกระจายการลงทุนไปยังตลาดต่างประเทศ

นอกจากนี้ ยังได้พัฒนา ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลไทย (TDX) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับการระดมทุนและซื้อขายโทเคนดิจิทัลทั้ง Investment Token และ Utility Token

รวมทั้งได้มีการพัฒนาและส่งเสริมความรู้ด้านการเงินและการลงทุน ซึ่งจะช่วยรองรับการเตรียมตัวเข้าสู่สังคมสูงวัย

โดยคำนึงถึงเนื้อหาที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ ในรูปแบบทั้งออนไลน์และออนไซต์ ผ่านแผนงานและโครงการต่าง ๆ

อย่างไรก็ตามการระดมทุนนั้น ตลาดทุนเป็นแหล่งเงินทุนที่สำคัญของภาคธุรกิจ ซึ่งการระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เป็นช่องทางการระดมทุนของธุรกิจขนาดต่างๆ

จากหลากหลายอุตสาหกรรม สนับสนุนการเติบโตของกิจการ และเป็นทางเลือกสำหรับการระดมทุน โดยเฉพาะในช่วงวิกฤต และเป็นกลไกสำคัญในการยกระดับขีดความสามารถของเศรษฐกิจไทย

ทั้งนี้จำนวนบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีมูลค่าการระดมทุนของบริษัทจดทะเบียนทั้งในตลาดแรก และตลาดรอง (IPO + SO) ปรับตัวสูงขึ้นมากในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยมีมูลค่าการระดมทุนรวมสูงถึง 1.58 ล้านล้านบาท

สำหรับในปี 2565 ตลาดหลักทรัพย์ไทยมีมููลค่าการเสนอขายหลักทรัพย์ IPO ที่ 127,836 ล้านบาท สูงที่สุดในอาเซียน และเป็นอันดับที่ 4 ของเอเชีย

โดยมีบริษัทที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมหรือธุรกิจใหม่ ๆ (New Economy) ซึ่งได้ช่วยเสริมสร้างความหลากหลายให้กับตลาดทุน ส่งผลให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีจำนวนบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้นเป็น 810 บริษัท

รวมทั้งบริษัทจดทะเบียนไทยได้รับการยอมรับและเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนในระดับสากล โดยมีจำนวนบริษัทไทยที่ได้รับการคัดเลือกเข้าไปในดัชนีด้านความยั่งยืนระดับสากลเพิ่มขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และได้รับคัดเลือกจำนวนสูงที่สุดในอาเซียนหลายปีซ้อน