PTTGC งบปี 65 ขาดทุนอ่วม 8,752 ล้านบาท ปันผลอีก 0.25 บาท

14 ก.พ. 2566 | 01:01 น.

PTTGC เผยงบปี 65 มีรายได้ที่ 678,267 ล้าน เพิ่ม 46% จากปี 2564 แต่จากต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น และบันทึกผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์ ส่งผลทั้งปี 65 บริษัทขาดทุน 8,752 ล้าน เทียบปี64 ที่กำไร 44,982 ล้าน

 

นางสาวภัทรลดา สง่าแสง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC แจ้งผลประกอบการปี 2565 ผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)ว่า ผลประกอบการปี 2565 บริษัทมีรายได้จากการขายรวม 678,267 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 46% จากปีก่อนขณะที่ปี 2565 มีผลขาดทุนสุทธิ 8,752 ล้านบาท ลดลง 119% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 44,982 ล้านบาท 

 

PTTGC งบปี 65 ขาดทุนอ่วม 8,752 ล้านบาท ปันผลอีก 0.25 บาท

โดยรายได้ที่ปรับเพิ่มขึ้น มีปัจจัยสนับสนุนจากสภาพเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวขึ้นจากการเปิดประเทศทั่วโลก ทำให้ความต้องการในการใช้ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ปรับตัว ขณะที่ราคาขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมในปีนี้ปรับตัวขึ้นอย่างมาก เช่นเดียวกับราคาขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมันดิบ นอกจากนี้ยังมีการรับรู้ผลประกอบการของ allnex เข้ามาเต็มปี

โดยในปี 2565 บริษัทมี Adjusted EBITDA อยู่ที่ 49,134 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 13% จากปีก่อนหน้า ตามทิศทางส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีส่วนใหญ่ที่ปรับลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีขั้นกลางและกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์โพลิเมอร์และเคมีภัณฑ์ที่ได้รับผลกระทบจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ขณะที่อุปสงค์ได้รับผลกระทบจากทั้งมาตรการปิดเมืองเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในจีน การเข้ามาของกำลังการผลิตใหม่ในตลาด รวมถึงความกังวลต่อภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจโลก 

 

บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานปกติ (ไม่รวมผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันและรายการขาดทุนจากการปรับมูลค่าของสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ ผลขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยน และกำไรจากตราสารอนุพันธ์ทางการเงิน ผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยง รายการพิเศษอื่น ๆ) ในปีนี้อยู่ที่ 18,984 ล้านบาท
          
ทั้งนี้ สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศรัสเซียและประเทศยูเครนได้ส่งผลกระทบต่อความผันผวนอย่างรุนแรงของทั้งราคาน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ทำให้ส่วนต่างผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 2/2565 บริษัทจึงมีการบันทึกผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยงในปีนี้จำนวน 23,057 ล้านบาท ซึ่งมีสาเหตุหลักจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นจริงสูงกว่าราคาที่ทำประกันความเสี่ยงไว้ 

โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันและรายการขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ (Stock Loss Net NRV) รวม 3,657 ล้านบาท ผลขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยนและผลกำไรจากตราสารอนุพันธ์ทางการเงินรวมเป็นขาดทุน 313 ล้านบาท 

นอกจากนี้บริษัทมีส่วนแบ่งเงินกำไรจากเงินลงทุนที่รับรู้ในปีนี้จำนวน 2,908 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้า เนื่องจากผลประกอบการของธุรกิจปิโตรเคมีที่อ่อนตัวลงในปีนี้ ทั้งนี้ในปีนี้บริษัทมีการบันทึกรายการพิเศษรวม 893 ล้านบาท
          
 

สำหรับผลประกอบการไตรมาส 4/2565 บริษัทมีรายได้จากการขายรวม 124,780 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 31% จากไตรมาส 3/2565 และปรับตัวลดลง 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้รวมปรับตัวลดลงโดยมีสาเหตุหลักจากหยุดซ่อมบำรุงตามแผนของโรงกลั่นฯ เป็นเวลา 49 วัน ในไตรมาสนี้ 

ประกอบกับอุปสงค์ของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ยังคงอ่อนตัวทำให้ราคาผลิตภัณฑ์ปรับตัวลดลง โดยในไตรมาสนี้บริษัทมี Adjusted EBITDA อยู่ที่ 3,459 ล้านบาท ปรับตัวลดลงทั้งจากไตรมาส 3/2565 และไตรมาส 4/2564 อยู่ที่ 67% และ 66% ตามลำดับ ตามทิศทางส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีส่วนใหญ่ที่ปรับลดลง ส่งผลให้ในไตรมาส 4/2565 บริษัทรายงานผลขาดทุนสุทธิรวม 968 ล้านบาท ลดลง 130% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 3,248 ล้านบาท แต่เพิ่มขึ้น 93% จากไตรมาสก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 13,384 ล้านบาท ทั้งนี้ในไตรมาส 4/2565 บริษัทมีการบันทึกรายการพิเศษอื่น ๆ รวม 1,744 ล้านบาท
         
แนวโน้มปี 66 คาดดีมานด์ยังเติบโต

ขณะที่ แนวโน้มปี 2566 คาดว่าสถานการณ์ราคาและส่วนต่างราคาของผลิตภัณฑ์ในปีนี้ มีแนวโน้มอ่อนตัวลงจากในปี 2565 ที่ส่วนต่างราคาอยู่ในระดับสูงจากอุปทานที่ตึงตัว เป็นผลของสถานการณ์ความขัดแย้งในทวีปยุโรป ทั้งนี้บริษัทได้ดำเนินการยังคงบริหารจัดการรูปแบบการผลิต และสัญญาขายเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง รวมถึงติดตามสถานการณ์ตลาดอย่างใกล้ชิดเพื่อบริหารจัดการการจัดหาน้ำมันดิบในการผลิตและส่วนต่างราคาของผลิตภัณฑ์ให้มีความเหมาะสม โดยบริษัทคาดการณ์อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงกลั่นฯ ในปี 2566 อยู่ที่ 101%
          
ส่วนผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีของโรงอะโรเมติกส์ บริษัทคาดว่าส่วนต่างของผลิตภัณฑ์พาราไซลีนกับแนฟทาในปีนี้จะทรงตัวอยู่ที่ 300-340 เหรียญสหรัฐต่อตัน โดยยังคงมีอุปทานจากผู้ผลิตรายใหม่เข้ามาในตลาด แต่คาดการณ์อุปสงค์จากภาคอุตสาหกรรมปลายน้ำ เส้นใยและสิ่งทอ (Fiber Filament) กรดเทเรฟทาริคบริสุทธิ์ (PTA) โดยเฉพาะขวดบรรจุภัณฑ์ (PET Bottle Resin) ยังคงได้รับการสนับสนุนจากอุปสงค์ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม 

รวมถึงอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซและการเดินทางระหว่างประเทศที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะการสนับสนุนจากการเปิดประเทศของประเทศจีน สำหรับส่วนต่างของราคาเบนซีนและแนฟทาจะอยู่ที่ประมาณ 220-250 เหรียญสหรัฐต่อตัน โดยยังคงได้รับการสนับสนุนจากกำลังการผลิตใหม่ของผลิตภัณฑ์ปลายน้ำ เช่น ฟีนอล แต่ยังมีปัจจัยกดดันจากกำลังการผลิตใหม่และสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่กดดันตลาดปลายทาง ทั้งนี้บริษัทคาดการณ์อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงอะโรเมติกส์ในปี 2566 อยู่ที่ 90% เนื่องจากมีการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนของโรงอะโรเมติกส์ในช่วงไตรมาส 3/2566
          
นอกจากนี้ ในส่วนของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีของโรงโอเลฟินส์ บริษัทคาดว่าราคาผลิตภัณฑ์เอทิลีนจะอยู่ที่ 960-990 เหรียญสหรัฐต่อตัน ราคาผลิตภัณฑ์โพรพิลีนจะอยู่ที่ 960-990 เหรียญสหรัฐต่อตัน โดยจะยังได้รับความกดดันจากอุปทานใหม่ที่จะเข้ามาในตลาด โดยเฉพาะจากประเทศจีน ทั้งนี้บริษัทคาดการณ์อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงโอเลฟินส์ในปี 2566 อยู่ที่ 85% เนื่องจากมีการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนเพื่อเตรียมความพร้อมในการดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการปรับปรุงโอเลฟินส์หน่วยที่ 2/2 ในไตรมาส 1/2566 และการปิดซ่อมตามแผนของโรงโอเลฟินส์หน่วยที่ 1 ในไตรมาส 3/2566
          
ด้านความคืบหน้าโครงการพลาสติกวิศวกรรมชั้นสูง โดยได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุน ได้แก่ บริษัท คุราเร่ จีซี แอดวานซ์ แมททีเรียลส์ จำกัด มีวัตถุประสงค์ในการดำเนินการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์พลาสติกวิศวกรรมชั้นสูงประเภท High Heat Resistant Polyamide-9T (PA9T) กำลังการผลิตที่ 13,000 ตันต่อปี และ Hydrogenated Styrenic Block Copolymer (HSBC) กำลังการผลิตที่ 16,000 ตันต่อปี คาดว่าเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 1/2566 ส่วนโครงการปรับปรุงโรงโอเลฟินส์หน่วยที่ 2 (Olefins 2 Modification Project) ซึ่งจะทำให้โรงโอเลฟินส์หน่วยที่ 2 ของบริษัทสามารถใช้โพรเพนเป็นวัตถุดิบในการผลิตได้เพิ่มขึ้น โดยโครงการดังกล่าวสอดคล้องกับแผนกลยุทธ์ของบริษัท ในการเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้วัตถุดิบ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว คาดว่าเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 2/2566

ปันผลอีก 0.25 บาท  ขึ้น XD 27 ก.พ.

คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัตินำกำไรสะสมจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.25 บาท โดยกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล ในวันที่ 28 ก.พ.2566 ขึ้นเครื่องหมาย XD ไม่ได้รับสิทธิปันผล 27 ก.พ.และจ่ายเงินปันผลวันที่ 26 เม.ย.2566 จากงวดระหว่างกาลจ่ายไปแล้ว 0.75 บาท รวมทั้งปี 2565 จ่ายเงินปันผลทั้งสิ้นหุ้นละ 1 บาท คิดเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ 4,509 ล้านบาท