ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ ที่ระดับ 33.79 บาทต่อดอลลาร์

14 ก.พ. 2566 | 00:51 น.

เงินบาทอาจมีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้นได้บ้าง ตามบรรยากาศของตลาดการเงินที่พลิกกลับมาเปิดรับความเสี่ยง ไฮไลท์สำคัญวันนี้ ผู้เล่นรอติดตาม รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในเดือนม.ค.

ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ (14ก.พ.2566)ที่ระดับ 33.79 บาทต่อดอลลาร์ "แข็งค่าขึ้น”
จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 33.87 บาทต่อดอลลาร์
 
นายพูน   พานิชพิบูลย์  นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุนธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า การย่อตัวลงของเงินดอลลาร์ก็พอช่วยหนุนให้เงินบาทสามารถเปิดตลาดเช้านี้แข็งค่าขึ้นมาได้บ้าง

อย่างไรก็ดี เราประเมินว่า ควรระวังความผันผวนในตลาดการเงิน โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ

ทั้งนี้ เราประเมินว่า เงินบาทอาจมีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้นได้บ้าง ตามบรรยากาศของตลาดการเงินที่พลิกกลับมาเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On)

อีกทั้งในช่วงแรกราว 14.00 น. จนถึง 17.00 น. รายงานข้อมูลเศรษฐกิจของอังกฤษและยูโรโซน ก็อาจออกมาสดใสและช่วยหนุนให้เงินยูโร (EUR) และเงินปอนด์ (GBP) แข็งค่าขึ้นได้บ้าง หรืออย่างน้อยแกว่งตัว sideways ซึ่งก็อาจพอช่วยหนุนเงินบาทไม่ได้อ่อนค่าไปมากได้

นอกจากนี้ เราประเมินว่า ผู้เล่นในตลาดจะยังไม่รีบปรับสถานะการถือครอง ก่อนจะรับรู้รายงานข้อมูลเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ทำให้ความเคลื่อนไหวในตลาดการเงินจะกลับมาผันผวนสูงในช่วงราว 20.30 น. ที่ตลาดจะทยอยรับรู้ข้อมูลดังกล่าว

หากตลาดจะเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้นได้ อาจต้องเห็นอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI เพิ่มขึ้นไม่ถึง +0.3%m/m

พร้อมกับ สัญญาณการชะลอตัวลงของอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในส่วนภาคการบริการที่ไม่รวมที่พักอาศัย (Core Services ex. Shelter) ซึ่งในกรณีนี้ เงินดอลลาร์มีโอกาสอ่อนค่าลงต่อเนื่อง

 และเราอาจเห็นเงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้นทดสอบโซนแนวรับแรกแถว 33.50-33.60 บาทต่อดอลลาร์ได้

อย่างไรก็ดี หากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI เพิ่มขึ้นมากกว่า +0.4%m/m ตามที่ตลาดประเมินไว้ และหรือ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในส่วนภาคการบริการที่ไม่รวมที่พักอาศัย กลับไม่ได้ส่งสัญญาณชะลอลง


 เรามองว่า ตลาดอาจพลิกกลับมาปิดรับความเสี่ยง จากความกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ทำให้ เงินดอลลาร์อาจแข็งค่าขึ้นต่อ และเงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าทดสอบระดับ 34.00 บาทต่อดอลลาร์ได้
 
อนึ่ง ความผันผวนของตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้เรามองว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือทางการเงินที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
 
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.55-33.95 บาท/ดอลลาร์


ตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวขึ้น ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq พุ่งขึ้น +1.48% ส่วน ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +1.14% หนุนโดยแรงซื้อหุ้นในจังหวะย่อตัว

โดยเฉพาะหุ้นเทคฯ อาทิ Microsoft +3.1% ซึ่งจะคงได้แรงหนุนจากความหวังว่า Search Engine “Bing” ที่มีฟีเจอร์ AI ChatGPT อาจแย่งส่วนแบ่งการตลาดจาก Search Engine Google ได้

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็มองว่า รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ที่จะประกาศในวันนี้ อาจชะลอลงต่อเนื่อง ทำให้เฟดอาจไม่จำเป็นต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยไปไกลกว่าที่ตลาดคาดหวัง (ตลาดมองจุดสูงสุดดอกเบี้ยเฟดแถว 5.25%-5.50%)  
 
ในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 เดินหน้าปรับตัวขึ้น +0.90% หนุนโดยความหวังภาพเศรษฐกิจยูโรโซนอาจไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ตลาดเคยคาดการณ์ไว้ หลังล่าสุดคณะกรรมธิการยุโรป (EC) ได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจยูโรโซนดีขึ้นในปีนี้

มุมมองดังกล่าวทำให้บรรดาผู้เล่นในตลาดปรับลดโอกาสเศรษฐกิจยุโรปเสี่ยงเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ในอีก 12 เดือนข้างหน้า เหลือเพียง 57% (Bloomberg Consensus)

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรป ยังพอได้แรงหนุนจากรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาดีกว่าคาด
 
ส่วนทางด้านตลาดบอนด์ ผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่ต่างรอจับตารายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในวันนี้ ทำให้โดยรวมบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหว sideways ใกล้ระดับ 3.71% ซึ่งหากอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ชะลอลงตามคาด หรือ

 ชะลอลงมากกว่าคาด ตลาดก็อาจคลายกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟดได้บ้าง ทำให้มีโอกาสที่จะเห็นบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงได้ราว -10bps (ค่าเฉลี่ยในช่วงที่มีรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ชะลอมากกว่าคาด)

ทว่า หากอัตราเงินเฟ้อ CPI กลับไม่ได้ชะลอลงตามคาด หรือออกมาสูงกว่าคาด บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจปรับตัวขึ้นได้ไม่เกิน +10bps

เนื่องจากตลาดได้ทยอยรับรู้แนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยเฟดไปพอสมควรแล้ว หากบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะปรับตัวขึ้นได้แรง อาจต้องมีปัจจัยอื่นหนุนในวันเดียวกัน
 
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยล่าสุด ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ย่อตัวลงใกล้ระดับ 103.3 จุด ตามภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน

หลังผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่างคาดหวังว่า อัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ อาจชะลอตัวลงต่อเนื่อง

 นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังถูกกดดันจากการแข็งค่าขึ้นของเงินยูโร (EUR) สู่ระดับ 1.073 ดอลลาร์ต่อยูโร ตามภาพเศรษฐกิจยูโรโซนที่อาจไม่ได้แย่อย่างที่ตลาดเคยกังวล

ทั้งนี้ แม้ว่า เงินดอลลาร์จะย่อตัวลงบ้าง แต่บรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาด และท่าทีของผู้เล่นในตลาดที่ต่างรอรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI กลับทำให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย.) ยังคงแกว่งตัวใกล้ระดับ 1,865 ดอลลาร์ต่อออนซ์
 
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญที่ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม คือ รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในเดือนมกราคม

โดยเราประเมินว่า ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้อัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ 

โดยเฉพาะในกรณีที่ อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline CPI) และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) ยังคงขยายตัวไม่น้อยกว่า +0.4% จากเดือนก่อนหน้า (คิดเป็นระดับ 6.4% และ 5.6% เมื่อเทียบจากปีก่อน ตามลำดับ) ตามที่บรรดานักวิเคราะห์ประเมินไว้ ก็อาจสะท้อนว่า 

อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ แม้จะชะลอตัวลง (ตามที่ประธานเฟดได้ระบุในการประชุมเฟดและในสัปดาห์ก่อนหน้า) แต่ก็อาจไม่ได้ชะลอเร็วนัก

โดยเฉพาะหากตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่งและตึงตัว หนุนให้อัตราเงินเฟ้อในส่วนภาคการบริการ (Core Services ex. Shelter) ชะลอตัวช้า


 กรณีนี้ ผู้เล่นในตลาดอาจกลับมากังวลแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด และอาจเริ่มมองว่า เฟดมีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่อง จนแตะระดับสูงสุดที่มากกว่าระดับ 5.25%-5.50% ซึ่งตลาดมองไว้ล่าสุด )

 นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยเฉพาะมุมมองต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อและการปรับนโยบายการเงินเฟด หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมานั้นทยอยออกมาดีกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาด

รวมถึงนักวิเคราะห์บางส่วนเริ่มมองว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจไม่ได้ชะลอตัวลงหนัก จนเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ในปีนี้
 
ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา รายงานข้อมูลการจ้างงานอังกฤษ ที่ตลาดประเมินว่า จะยังคงสะท้อนภาพตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งและตึงตัว

โดยหาก ค่าจ้างยังคงขยายตัวกว่า +6.5% ก็อาจสะท้อนว่า อัตราเงินเฟ้อของอังกฤษอาจชะลอตัวช้ากว่าที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) คาดหวัง

 ทำให้ BOE อาจจำเป็นต้องเดินหน้าขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่อง ส่วนในฝั่งยูโรโซน ตลาดมองว่า เศรษฐกิจยูโรโซนในไตรมาสที่ 4 อาจขยายตัวเพียง +1.9%y/y กดดันโดยภาวะเงินเฟ้อสูง

อย่างไรก็ดี วิกฤตพลังงานที่ไม่ได้รุนแรงอย่างที่กังวล รวมถึงมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพจากภาครัฐในหลายประเทศก็ช่วยให้เศรษฐกิจยูโรโซนไม่ได้ชะลอตัวลงหนัก

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับ33.80.-33.82 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.15 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 33.89 บาทต่อดอลลาร์ฯ

โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้น ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ เผชิญแรงขายเพื่อปรับโพสิชัน เนื่องจากตลาดยังคงรอติดตามการรายงานตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคของสหรัฐฯ ในคืนนี้ ซึ่งน่าจะมีนัยต่อเนื่องไปที่แนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 33.70-33.95 บาทต่อดอลลาร์ฯ

ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามจะอยู่ที่ทิศทางฟันด์โฟลว์และสกุลเงินเอเชีย ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด ข้อมูลจีดีพีไตรมาส 4/65 ของญี่ปุ่นและยูโรโซน และข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ เดือนม.ค.