"EGCO" ปิดดีลขายโรงไฟฟ้า 3 แห่งในอินโดฯ รับทรัพย์ 1.67 หมื่นลบ.

27 ธ.ค. 2565 | 04:08 น.

"เอ็กโก กรุ๊ป" ปิดดีลขายหุ้นโรงไฟฟ้าโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพทั้ง 3 แห่ง ในอินโดนีเซีย มูลค่ารวม 16,780 ล้านบาท แจงนำเงินที่ไปใช้ลงทุนในโครงการใหม่ในอนาคต

นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จํากัด (มหาชน) หรือ  EGCO  เปิดเผยว่า บริษัท โฟนิกซ์ พาวเวอร์ บีวี (พีพี) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของเอ็กโก ได้ดำเนินการทำสัญญาซื้อขายหุ้นกับบริษัท สตาร์ เอ็นเนอร์ยี่ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด เพื่อขายหุ้นในบริษัท สตาร์ เอ็นเนอร์ยี่ จีโอเทอร์มอล จำกัด (เอสอีจี) สัดส่วน 20% ของหุ้นสามัญที่ออกชำระแล้ว 

 

และขายหุ้นในบริษัท สตาร์ โฟนิกซ์ จีโอเทอร์มอล เจวี บีวี (เอสพีจี) ในสัดส่วน 30.25% ของหุ้นสามัญที่ออกชำระแล้ว เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2565 ทั้งนี้ การซื้อขายหุ้นดังกล่าวได้ดำเนินการเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้วเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2565 โดยเอ็กโก กรุ๊ป รับรู้รายได้จากการขายหุ้นทั้งสิ้น 485 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (เทียบเท่าประมาณ 16,780 ล้านบาท)
 

สำหรับเอ็กโก กรุ๊ป เริ่มเข้าลงทุนในประเทศอินโดนีเซีย เมื่อปี 2557 โดยถือหุ้นทางอ้อมในสัดส่วน 20% และ 20.07% ของหุ้นสามัญที่ออกชำระแล้วของ เอสอีจี วายัง วินดู (เอสอีจีดับบลิวดับบลิว) และ เอสอีจี  ซาลัก-ดาราจัท บีวี (เอสอีจีเอสดี) ผ่าน เอสอีจี และเอสพีจี 

 

เอ็กโก กรุ๊ป เทขายหุ้นทั้งหมดโรงไฟฟ้าความร้อนใต้พิภพในอินโดนีเซีย

โดยเอสอีจีดับบลิวดับบลิวเป็นเจ้าของและผู้บริหารโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ วายัง วินดู กำลังผลิตติดตั้งรวม 227 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ที่จังหวัดชวาตะวันตก ประเทศอินโดนีเซีย 

 

ขณะที่เอสอีจีเอสดีเป็นเจ้าของและผู้บริหารโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพซาลัก และดาราจัทตั้งอยู่ที่จังหวัดชวาตะวันตก ประเทศอินโดนีเซีย โดยโรงไฟฟ้าซาลักมีกำลังผลิตติดตั้งรวมทั้งสิ้น 376.8 เมกะวัตต์ (ไอน้ำ 180 เมกะวัตต์ และไฟฟ้า 196.8 เมกะวัตต์) 
 

โรงไฟฟ้าดาราจัทมีกำลังผลิตติดตั้งรวมทั้งสิ้น 271 เมกะวัตต์ (ไอน้ำ 55 เมกะวัตต์ และไฟฟ้า 216 เมกะวัตต์) โดยโรงไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง จำหน่ายไฟฟ้าภายใต้สัญญารับประกันการรับซื้อระยะยาวกับการไฟฟ้าอินโดนีเซีย (PLN)

 

"การขายหุ้นทั้งหมดในโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพทั้ง 3 แห่งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การบริหารจัดการสินทรัพย์และการลงทุนของเอ็กโก กรุ๊ป โดยบริษัทสามารถรับรู้กำไรจากการขายหุ้นและมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง เพื่อรองรับการลงทุนในโครงการใหม่ในอนาคต โดยเฉพาะโครงการพลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาดที่มีศักยภาพในการเติบโตเพิ่มมากขึ้น"