เบทาโกร (BTG) : เปิดเทรดวันแรกหลุดจอง ยังน่าสนอยู่ไหม เปิดมุมมองโบรก

03 พ.ย. 2565 | 02:15 น.

“เบทาโกร” เทรดวันแรกต่ำจองปิดที่ 36.25 บาทต่ำสุดของวัน หรือลดลง 9.37% จากไอพีโอ 40 บาท เปิดมุมมอง โบรกฯ หุ้น BTG ยังน่าสนไหม ด้าน ซีอีโอ BTG เผยแผนลงทุนของบ 5 ปี ( 2565 - 2569 ) มุ่งยกระดับอุตสาหกรรมอาหาร เสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันระยะยาว มั่นใจรายได้ปี 65 เติบโต 25%

 

บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ BTG หุ้นไอพีโอน้องใหม่ ในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารที่มีมูลค่าเสนอขายสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ตลาดทุนไทย และสูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปีนี้ เข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วานนี้ (2 พ.ย.2565) เปิดที่ 39.75 บาท ลดลง 0.62% จากราคาไอพีโอที่ 40 บาท ก่อนจะปรับตัวลดลงต่อเนื่องตลอดทั้งวัน โดยปิดการซื้อขายที่ราคาต่ำสุดของวัน 36.25 บาท ลดลง 9.37% ด้วยมูลค่าซื้อขายหนาแน่นกว่า  8,717 ล้านบาท 

 

วันนี้ (3 พ.ย.65) ราคาหุ้น BTG เปิดตลาดที่ 36.75 บาท ล่าสุดเมื่อเวลา 10.32 น. อยู่ที่ 37.75 บาท ปรับเพิ่มขึ้น 4.14% หรือเพิ่ม 1.50 บาท จากราคาปิดเมื่อวานนี้  ด้วยมูลค่าการซื้อขายกว่า 873.02 ล้านบาท ราคาอยู่สูงสุดที่  37.75 บาท และต่ำสุดที่ 36.50 บาท  

 

นายอนุวัฒน์ ร่วมสุข กรรมการผู้จัดการ ประธานสายตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เกียรตินาคินภัทร ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน ของ BTG กล่าวว่า ราคาหุ้น BTG ต่ำจอง เป็นเพราะความกังวลของนักลงทุนรายย่อยในปัจจัยบางอย่าง แต่อยากให้นักลงทุนพิจารณาพื้นฐาน เพราะบทวิเคราะห์ 7- 8 โบรกฯ ให้ราคาพื้นฐาน 48-50 บาท จากราคาไอพีโอที่ 40 บาท คิดเป็น P/E ล่วงหน้า ที่ 9 เท่า ถือว่าต่ำเทียบกับกลุ่มฯที่ 13 เท่า จึงแนะนำ ซื้อลงทุนในระยะยาวได้

 

"เหตุที่ราคาหุ้น BTG ซื้อขายวันแรก ต่ำกว่าราคาจอง  ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนักลงทุนกังวลผลประกอบการของเบทาโกรจะชะลอตัว หลังราคาเนื้อหมู ไก่ ปรับตัวลง เทียบจากครึ่งปีแรกที่ราคาขึ้นไปทำจุดสูงสุด แต่อยากให้นักลงทุนมองพื้นฐานของบริษัทมากกว่า" 
 

 

บล.เอเซียพลัส (ASPS) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า คาดเบทาโกร (BTG) จะทำกำไรสุทธิปี 2565 เติบโตถึง 695% yoy สู่ระดับ 8.0 พันล้านบาท จากแนวโน้มราคาหมูและไก่ปรับตัวสูงขึ้น จากปัญหาหมูขาดแคลน อย่างไรก็ตามคาดกำไรสุทธิปี 2566 จะลดลง 20% yoy มาที่ 6.4 พันล้านบาท (ยังถือว่าอยู่ในระดับสูง) จากแนวโน้มราคาหมูและไก่อ่อนตัวลงบ้าง จากฐานที่สูงมากในปี 2565 

 

 

เบทาโกร (BTG) : เปิดเทรดวันแรกหลุดจอง ยังน่าสนอยู่ไหม เปิดมุมมองโบรก

 

ASPS กำหนด Fair value ปี 2566 ของ BTG เท่ากับ 48 บาท อิง PER 15 เท่า ใกล้เคียงค่าเฉลี่ย PER ที่ Fair value ของผู้ประกอบการหมูและไก่ใน SET

 

นายธนภัทร ฉัตรเสถียร  ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ ระบุ คาดกำไรปี 65 เติบโตสูงเป็นประวัติการณ์ โดยคาดกำไรปี 65 ที่ 8,370 ล้านบาท เติบโต 728%YoY จากปัจจัยหนุนด้านราคาสัตวบกทั้งสุกรขุนและไก่เนื้อที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลบวกต่อทั้งรายได้และอัตรากำไร แม้ว่าในส่วนของต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ อาทิข้าวโพดและกากถั่วเหลืองจะปรับตัวสูงขึ้น แต่ยังมีน้ำหนักน้อยกว่าราคาสัตว์บกที่ปรับตัวขึ้น โดยราคาสุกรได้รับผลบวกจากอุปทานจากการเลี้ยงสุกรที่ลดลงหลังการระบาดของ ASF ขณะที่ราคาไก่ได้รัลผลบวกจากการเปิดตลาดส่งออกใหม่ในหลายประเทศ

 

การขยายธุรกิจส่งผลบวกต่อกำไรปี 66-67

 

เราคาดกําไรปี 2566-67 ที่ 8,956 ล้านบาท (+7%YoY) และ 9,908 ล้านบาท (+11%YoY) ตามลำดับ แม้คาดราคาสัตว์บกจะยังคงอยู่ในระดับสูง แต่ด้วยเทียบจากฐานสูง ทำให้ไม่ใช่ปัจจัยหนุนให้เติบโตสูงเหมือนในปี 65 โดยปัจจัยหนุนหลักจะมาจากการขยายกำลังการผลิตในเกือบทุกธุรกิจ รวมถึงในธุรกิจทที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง เช่น การขยายโรงงานแปรรูปอาหารและเนื้อสัตว์และโรงงานอาหารสัตว์เลี้ยงเป็นต้น ซึ่งจะส่งผลบวกต่อทั้งยอดขายและอัตรากำไรโดยรวม

 

ประเมินราคาเป้าหมายที่ 63 บาท โดยอิง PER 14.1 เท่า (เทียบเคียงค่าเฉลี่ยย้อนหลัง PER-0.5SD ของธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร)

 

ด้านนายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า หุ้น BTG ราคาต่ำจอง มีหลายเหตุผล ส่วนหนึ่งเพราะช่วงหลัง Performance หุ้นไอพีโอไม่ค่อยดีนัก ทำให้นักลงทุนระมัดระวังในการเก็งกำไรมากขึ้น  นอกจากนี้นักลงทุนอาจดูก่อน ว่าแนวโน้มธุรกิจตัว BTG หลังจากนี้ไปจนถึงปีหน้า ผลประกอบการจะออกมาดีหรือไม่ หรืออาจจะมีความเสี่ยงที่อาจจะชะลอตัวลง เนื่องจากกลุ่มอาหารสัตว์จะมีความเสี่ยงด้านต้นทุน ทำให้ในระยะเวลาสั้น ๆ นักลงทุนอาจจะมีความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น

 

 

เบทาโกร (BTG) : เปิดเทรดวันแรกหลุดจอง ยังน่าสนอยู่ไหม เปิดมุมมองโบรก

 

เบทาโกร เปิดแผนลงทุน 5 ปี 

 

นายวสิษฐ แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ BTG เปิดเผยถึงเป้าหมายและแผนการลงทุนของบริษัท 5 ปีต่อจากนี้ (ปี 2565 - 2569 ) ว่า เบทาโกรมุ่งมั่นยกระดับอุตสาหกรรมอาหาร พร้อมเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันในระยะยาว ผ่านแผนการลงทุนเพื่อขยายส่วนแบ่งทางการตลาดทั้งในและต่างประเทศ ดังนี้ 

 

1) ขยายกำลังการผลิตตลอดห่วงโซ่คุณค่า โดยมีแผนเพิ่มกำลังการผลิตในอีก 5 ปีข้างหน้า ประกอบด้วย อาหารสัตว์เป็น 5.5 ล้านตันต่อปี อาหารแปรรูปและไส้กรอก 223,000 ตันต่อปี โรงงานแปรรูปสุกร 4.8 ล้านตัว และโรงงานแปรรูปไก่เนื้อ 270 ล้านตัว 

 

2) มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์อาหารที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป เช่น อาหารพร้อมปรุง อาหารพร้อมรับประทาน รวมทั้งจะเพิ่มสัดส่วนของแบรนด์ผลิตภัณฑ์เกรดพรีเมียมและมาตรฐาน 


3) ขยายการประกอบธุรกิจของบริษัทฯ ในต่างประเทศ โดยมีแผนลงทุนก่อสร้างโรงงานและฟาร์มเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตในประเทศกัมพูชา ลาว และเมียนมา 

 

4) ขยายการจัดจำหน่ายในตลาดต่างประเทศและเพิ่มจุดหมายปลายทางการส่งออก ได้แก่ การเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายในตลาดต่างประเทศที่สำคัญ อาทิ สิงคโปร์ ฮ่องกง และกัมพูชา เป็นต้น การขยายไปสู่กลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่โดยเพิ่มการรับรู้แบรนด์และเข้าไปเป็นพันธมิตรใหม่กับธุรกิจท้องถิ่น รวมถึงเพิ่มจุดหมายการส่งออกจากกว่า 20 ประเทศทั่วโลก และเพิ่มยอดคำสั่งซื้อของลูกค้า (pocket share) ในภูมิภาคเดิม เช่น สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ฮ่องกง และสหราชอาณาจักร เป็นต้น 

 

นอกจากนี้ เบทาโกรยังมุ่งแสวงหาโอกาสการเติบโตใหม่ (New S-Curve) โดยจัดสรรเงินทุนรวมประมาณ 900 ล้านบาท สำหรับปี 2565-2569 เพื่อร่วมลงทุนในธุรกิจใหม่ ๆ ผ่าน Venture Building และ Venture Capital ใน 3 สาขา ได้แก่ 

 

1) พัฒนาความสามารถในการเข้าถึงสินค้าที่มีคุณภาพสูงให้แก่ผู้บริโภค 
2) สร้างแหล่งโปรตีนใหม่ที่ยั่งยืน 
3) เพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทานในสายอุตสาหกรรมการเกษตรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับการวิจัยและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่สอดคล้องไปกับธุรกิจหลัก เพื่อรองรับโอกาสการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนต่อไปในอนาคต
 

ทั้งนี้ บริษัทคาดรายได้ปีนี้จะเติบโตราว 25% หลัง 6 เดือนแรกของปี 65 มีรายได้รวม 54,193 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% YoY และมีกำไรสุทธิ 3,892 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 7.2%  

 

"เป้าหมายใน 5 ปี วางแผนเติบโตในอัตราที่สูงต่อเนื่อง จากปัจจุบันสัดส่วนรายได้มาจากในประเทศ 85% ส่งออก 15% โดยบริษัทมีแผนใช้ลงทุนเฉลี่ยปีละ 5,000 ล้านบาท "