ในโลกธุรกิจที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงสูง ทั้งภัยธรรมชาติรุนแรงขึ้น วิกฤติเศรษฐกิจผันผวน และการแข่งขันเทคโนโลยีที่เร่งความเร็วแบบก้าวกระโดด องค์กรที่สามารถ “ยืนหยัด แข็งแรง และปรับตัวได้ทันเวลา” กลายเป็นต้นแบบสำคัญของเศรษฐกิจไทย
หนึ่งในรางวัลที่สะท้อน “คุณภาพของผู้นำในยุควิกฤติถาโถม” อย่างชัดเจน คือรางวัล “Resilience & Crisis Management Award” ซึ่งตกเป็นของ ดร.สมพร สืบถวิลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน)
สะท้อนภาพผู้นำองค์กรที่ยืนหยัดได้อย่างแข็งแรงท่ามกลางคลื่นความเสี่ยงรอบด้าน ทั้งภัยธรรมชาติ โรคระบาด ความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีครั้งใหญ่
ดร.สมพรเปิดเผยว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ผู้บริหารจากหนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ หอการค้าไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และมหาวิทยาลัยรามคำแหง ให้การยอมรับและมอบรางวัล The Leadership Awards 2025 สาขา Resilience & Crisis Management ให้กับบริษัท
“รางวัลนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นเลิศด้านความยืดหยุ่นและการบริหารจัดการวิกฤติขององค์กร ทั้งในเรื่องระบบบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ ความสามารถในการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง การปรับตัวเชิงกลยุทธ์ และผลงานที่พิสูจน์ได้จริงในช่วงสถานการณ์ท้าทายต่าง ๆ”
สำหรับรางวัลนี้อันทรงคุณค่านี้สะท้อนพลังแห่งความร่วมมือ ความทุ่มเท และความสามารถของผู้บริหารและพนักงานทิพยประกันภัยทุกคน ที่ล้วนมุ่งมั่นทำงานด้วยหัวใจเดียวกัน เพื่อยกระดับองค์กรให้แข็งแกร่ง เติบโตอย่างมั่นคง และขับเคลื่อนทิพยประกันภัยสู่การเป็นผู้นำแห่งอนาคตอย่างยั่งยืน
ส่วนแผนการดำเนินงานในช่วงต่อไปนั้น บริษัทได้เตรียมผลักดันให้การประกันภัยเข้าถึงประชาชนทุกคนผ่านการเป็นนโยบายแห่งชาติ ที่ช่วยสนับสนุนให้ประชาชนคนไทยเข้าถึงการประกันภัย เพื่อป้องกันความเสี่ยง ดูดซับความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจ
เช่น ทุกครัวเรือนจะต้องมีประกันอัคคีภัย ประชาชนทุกคนต้องมีประกันสุขภาพ ประกันนาข้าวทุกพื้นที่ ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนเบี้ยประกันภัย ต่อ GDP หรือ Penetration Rate ของอุตสาหกรรมประกันภัยอยู่ที่ประมาณ 1.5% เท่านั้น ซึ่งยังมีช่องว่างอีกมาก
“ความท้าทายในธุรกิจประกันวินาศภัยตอนนี้เราเห็นชัดเจนว่า มีการเปลี่ยนแปลงทั้งโครงสร้างประชากร และโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ภูมิรัฐศาสตร์ และการเปลี่ยนแปลงของสภาพสิ่งแวดล้อม จนทำให้เกิดมหันตภัยต่างๆ"
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความท้าทาย แต่สิ่งหนึ่งที่เจอในธุรกิจคือ การมีคู่แข่งที่ไม่ใช่บริษัทประกันภัยด้วยกันเข้ามาแข่งขัน ประกอบกับการแข่งขันทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะเทคโนโลยีเอไอ ทำให้ธุรกิจประกันภัยต้องเร่งปรับตัว และปรับโครงสร้างผลิตภัณฑ์ ควบคู่กับการบริหารความเสี่ยงต่อเนื่องด้วย
อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ได้เตรียมความพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งการปรับปรุงโครงสร้างการพัฒนาด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเอไอ หรือการเชื่อมโยงธุรกิจประกันภัยต่อ และจัดหาผลิตภัณฑ์ประกันภัยต่าง ๆ เพื่อให้มีผลิตภัณฑ์ดี ๆ กับประชาชน
ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปีหน้า เชื่อว่า แม้จะมีการปรับเปลี่ยนรัฐบาลแต่ภาวะเศรษฐกิจไทยก็น่าจะขยายตัวได้ในระดับดีพอสมควร ส่วนธุรกิจประกันภัยคาดว่าจะขยายตัวระหว่าง 2.5-3%
สำหรับเป้าหมายการดำเนินธุรกิจต่อไป คือบริษัทตั้งเป้าหมายการเป็นบริษัทประกันวินาศภัย อันดับ 1 ของประเทศไทย ที่มุ่งเน้นการสร้าง worry free solution ให้กับประเทศ
ไม่ว่าจะเป็นสำหรับการใช้ชีวิตของประชาชน การดำเนินธุรกิจของภาคเอกชน และ การดำเนินโครงการและนโยบายภาครัฐ รวมถึงสวัสดิการถ้วนหน้า ที่จะให้ความอุ่นใจทั้งการดำเนินชีวิต ไลฟ์สไตล์ สุขภาพร่างกาย ทรัพย์สิน และความรับผิดต่างๆ
นอกจากนี้บริษัท ยังมองหาและการสร้างโอกาสจาก Mega Trends ดังนี้
อย่างไรก็ดีในปี 2569 ประเมินว่า จะไม่ใช่ปีของการประคองตัวอีกต่อไป แต่เป็นปีที่ต้องก้าวข้ามความผันผวน และวางรากฐานใหม่ให้เศรษฐกิจไทยแข็งแรงขึ้นอย่างยั่งยืน โดยเห็นโอกาสเชิงโครงสร้างที่สำคัญ 4 ด้าน ซึ่งจะกำหนดทิศทางการเติบโตของประเทศและอุตสาหกรรมประกันภัย คือ
หน้า 14 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,155 วันที่ 7 - 10 ธันวาคม พ.ศ. 2568