KEY
POINTS
นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. ครบรอบปีที่ 59 เดินหน้าขับเคลื่อนภารกิจตามวิสัยทัศน์เป็น “ธนาคารพัฒนาชนบทที่ยั่งยืน” ยกระดับการประกอบอาชีพของเกษตรกรทุกมิติตามแนวทางแกนกลางการเกษตร (Essence of Agriculture) นำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรให้ดีขึ้นและสร้างการเติบโตภาคเกษตรไทยอย่างมั่นคงและยั่งยืน
สำหรัยเผยผลการดำเนินงานครึ่งปีบัญชี 2568 (1 เมษายน 2568 – 30 กันยายน 2568) ได้สนับสนุนสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องและการลงทุน ทั้งในและนอกภาคการเกษตรระหว่างปี เป็นจำนวน 551,502 ล้านบาท ทำให้มีสินเชื่อรวม จำนวน 1,689,921 ล้านบาท ยอดเงินฝากสะสม 2,033,710 ล้านบาท สินทรัพย์รวม จำนวน 2,435,717 ล้านบาท มีหนี้ที่ไม่ก่อให้
เกิดรายได้ (NPLs) อยู่ที่ร้อยละ 6.20 ของสินเชื่อรวม ต่ำกว่าแผนการที่วางไว้ที่ร้อยละ6.77
โดยในปีบัญชีนี้ ธ.ก.ส. ได้ออกผลิตภัณฑ์เงินทุนอัตราดอกเบี้ยต่ำให้แก่เกษตรกร ผู้ประกอบการ รวมถึงบุคลากรของรัฐและเอกชนที่ทำหน้าที่ในการดูแลภาคชนบทและชุมชนในการนำไปต่อยอดและเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำรงชีวิตและประกอบอาชีพ อาทิ
สินเชื่อเคหะเพื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อเงินด่วนคนดี และสินเชื่อเงินด่วนกึ่งแสน สำหรับสมาชิก อสม. และ อสส. ซึ่งมีผู้ใช้บริการสินเชื่อแล้วกว่า 636,945 ราย สินเชื่อเงินด่วนสิบหมื่น สำหรับสมาชิก อสม. และ อสส. ผู้ใช้บริการสินเชื่อแล้วกว่า 277,526 ราย
ด้านการแก้ไขปัญหาหนี้สินครัวเรือน ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ ธ.ก.ส. ได้ขับเคลื่อนภารกิจผ่านมาตรการพักชำระหนี้ให้กับลูกหนี้รายย่อยตามนโยบายรัฐบาล ระยะที่ 1ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 จนถึงระยะที่ 3 (1 ตุลาคม 2568 – 30 กันยายน 2569) ซึ่งในระยะที่ 3 มีผู้เข้าร่วมมาตรการแล้ว จำนวน 1.35 ล้านราย ต้นเงินกู้กว่า 186,935 ล้านบาท
โดย ธ.ก.ส. ได้มีมาตรการในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ และส่งเสริมศักยภาพในการประกอบอาชีพและความสามารถในการชำระหนี้ตามแนวทางตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ เพื่อให้เกษตรกรที่เข้าร่วมมาตรการมีรายได้เพิ่มขึ้นและลดภาระหนี้สินในระยะยาวหลังจบมาตรการ
“ปัจจุบันมีผู้ผ่านการอบรมแล้ว จำนวน 3.16 แสนราย ในจำนวนนี้สามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นจากการลดต้นทุนและสร้างผลผลิตเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 15% นอกจากนี้ ในระหว่างการเข้าร่วมมาตรการ ธนาคารยังได้สนับสนุนเงินทุนผ่านโครงการสินเชื่อเพื่อฟื้นฟูการประกอบอาชีพ มีผู้ใช้บริการสินเชื่อ จำนวน 37,548 ราย ยอดจ่ายสินเชื่อสะสมรวมกว่า 3,021 ล้านบาท”
นอกจากนี้ ธ.ก.ส. ยังได้ดำเนินโครงการสนับสนุนช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
นาปรังและนาปี ปี 2568 และส่งเสริมการเพาะปลูกให้เหมาะกับศักยภาพพื้นที่ ปีการผลิต 2568/69 โดยสนับสนุนเงินช่วยเหลือไร่ละ 1,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 10 ไร่ มีเกษตรกรได้รับประโยชน์กว่า 4.5 ล้านครัวเรือน รวมเป็นเงินกว่า 36,716 ล้านบาท
ด้านการพัฒนาชนบทอย่างยั่งยืน ธ.ก.ส. ขับเคลื่อนภายใต้แนวคิดลูกค้าแข็งแรง ธนาคารยั่งยืน ที่จะเชื่อมโยงภาคีเครือข่ายเพื่อนำไปสู่การพัฒนาภาคการเกษตร (Agricultural Networks) โดยเตรียมเปิดตัวเว็บไซต์ BAAC Matching แพลตฟอร์มดิจิทัลที่จะเชื่อมโยงการผลิตและการตลาดตลอดห่วงโซ่ เพื่อสร้างงานและสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรรายย่อย วิสาหกิจชุมชนและผู้ประกอบการเกษตรอย่างยั่งยืน
“ธ.ก.ส. จะรวบรวมและเชื่อมโยงสินค้า Glam เกษตร จากลูกค้า ธ.ก.ส. ทั่วประเทศ และจัดหมวดสินค้าที่ง่ายต่อการเลือกซื้อและเข้าถึงมาอยู่ในแพลตฟอร์ม เพื่อสร้างช่องทางการตลาดใหม่ให้เกษตรกรและผู้บริโภคสามารถซื้อและจำหน่ายผลิตภัณฑ์กันได้โดยตรง พร้อมเปิดให้บริการพร้อมกันทั่วประเทศในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 นี้ ผ่านhttp://baacmatching.baac.or.th”
ขณะเดียวกัน ธ.ก.ส ได้ขับเคลื่อนภารกิจด้านการสร้างความยั่งยืนของสังคมและสิ่งแวดล้อมตามแนวคิด ESG มุ่งสู่เป้าหมายการสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน(Carbon neutrality) ในปี ค.ศ. 2050 และการบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ผ่านโครงการ BAAC Carbon Credit
โดยปัจจุบันมีชุมชนธนาคารต้นไม้เข้าร่วมและขึ้นทะเบียน T-VER แล้ว 35 ชุมชน สามารถกักเก็บก๊าซเรือนกระจกสะสม 3,331 ตันคาร์บอน และสร้างพื้นที่สีเขียวกว่า 6,581 ไร่ หรือคิดเป็นจำนวนต้นไม้กว่า 4.95 ล้านต้น และลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้สะสม 4,879 ตันคาร์บอน
นอกจากนี้ ธ.ก.ส. ยังพร้อมสร้างความยั่งยืนผ่านสินเชื่อที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ESG เป้าหมาย 25,000 ล้านบาท ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2569 โดยปัจจุบันปล่อยสินเชื่อไปแล้วกว่า 23,000 ล้านบาท และมีผู้กู้จำนวนกว่า 7,100 ราย