นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทยธนชาต หรือ ทีทีบี แสดงความเห็นถึงสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันกรณีอันดับเครดิตเรตติ้งของประเทศ โดยเฉพาะประเด็นการเติบโตของเศรษฐกิจและความสามารถในการหารายได้ของภาครัฐ ท่ามกลางบรรยากาศการเมืองที่ยังคงไม่แน่นอน
โดยระบุว่า การพิจารณาความน่าเชื่อถือของประเทศมีหลักการคล้ายกับการประเมินบริษัทเอกชน คือพิจารณาจากรายได้และหนี้ หากรายได้ไม่เป็นไปตามเป้า แต่หนี้เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ก็มีโอกาสที่เครดิตจะถูกปรับลดลง
ตอนนี้การเก็บภาษียังต่ำกว่าเป้า ถ้ามีการกู้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เหมือนบริษัทที่รายได้ไม่เข้าเป้า แต่ต้องกู้เงินมาโปะค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ถ้าเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ประเทศก็มีโอกาสถูกดาวน์เกรดได้
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทยธนชาต ยังกล่าวอีกว่า แม้ระดับหนี้สาธารณะต่อจีดีพีของไทย ณ จุดเริ่มต้นไม่ได้อยู่ในระดับสูง แต่เมื่อมีการกู้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ก็เป็นความเสี่ยงที่ไม่อาจมองข้าม โดยเฉพาะหากเศรษฐกิจไทยขยายตัวช้าหรือไม่เติบโต ขณะที่หนี้ขยายตัวเร็วกว่า ก็ยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อเครดิตเรตติ้ง
นอกจากนี้ยังระบุว่า ไม่ว่ารัฐบาลจะอยู่ในอำนาจช่วงสั้นหรือยาวก็ต้องเผชิญความท้าทายนี้เหมือนกัน เนื่องจากการใช้นโยบายแบบเดิม คือ การทำงบประมาณขาดดุลสู้กับเศรษฐกิจที่ชะลอตัวไปเรื่อยๆ ก็จะยิ่งมีข้อจำกัดมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม จากประเด็นดังกล่าว สืบเนื่องจากเมื่อวานที่ผ่านมา (2 กันยายน) นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า ประเด็นความกังวลด้านเครดิตเรตติ้งของประเทศไทย บริษัทจัดอันดับเครดิตจะประเมินใน 2 ส่วนหลัก คือ ความสามารถในการชำระหนี้ของประเทศ ซึ่งในระยะสั้นยังไม่ได้มีประเด็นสำคัญ และ รายได้ของภาครัฐ ที่เชื่อมโยงกับการเติบโตทางเศรษฐกิจและการจัดเก็บภาษี
หากเศรษฐกิจยังคงซึมยาวจากภาวะสุญญากาศทางการเมืองที่เกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน อาจสุ่มเสี่ยงต่อเครดิตเรตติ้งของไทย ในระยะถัดไป