ลดดอกเบี้ยนโยบายเหลว แบงก์ตอบรับไม่ถึงครึ่ง ธปท.เผยยังค้างท่อ 57%

15 ส.ค. 2568 | 04:41 น.
อัปเดตล่าสุด :15 ส.ค. 2568 | 04:41 น.

ธปท.เผยดอกเบี้ยนโยบายยังค้างท่อ 57% เหตุผลส่งผ่านเพียง 43% หลังกนง.ลดดอกเบี้ย 4 ครั้งรวม 1.0% ยันล่าสุดลงสู่ระดับ 1.50% ต่อปี อยู่ในระดับเหมาะสม เน้นเก็บ Policy Space หวั่นเศรษฐกิจโดน Shock จากภาษีทรัมป์

คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) เมื่อ 13 สิงหาคม มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 1.75% เป็น 1.50% ต่อปี โดยให้มีผลทันที เพื่อให้ภาวะการเงินเอื้อต่อการปรับตัวของภาคธุรกิจและช่วยบรรเทาภาระของกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะเอสเอ็มอีและกลุ่มที่มีรายได้น้อยที่ได้รับแรงกดดันทั้งภาษีนำเข้าของสหรัฐและการแข่งขันสินค้านำเข้า และปัญหาโครงสร้างที่มีอยู่เดิมแล้ว 

นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการ กนง. ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)เปิดเผยว่า ธปท.ลดดอกเบี้ยนโยบายรวมครั้งนี้ เป็นครั้งที่ 4 รวมอัตราที่ลดลงแล้ว 1.0% รองรับความเสี่ยงในระยะข้างหน้าระดับหนึ่ง

ถ้าดูการส่งผ่านดอกเบี้ยนโยบายไปสู่ดอกเบี้ยในระบบจากการปรับลด 3ครั้งที่ผ่านมา(ตั้งแต่เดือนต.ค.ปี67 เดือนก.พ.68 และเดือนเม.ย.68) มีการส่งผ่านนโนบายประมาณ 43% ใกล้เคียงกับการลดดอกเบี้ยนโยบายในช่วงการระบาดของโควิด-19 อยู่ที่ 40% 

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า การลดดอกเบี้ยนโยบายครั้งที่ 3 ในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมานั้น การส่งผ่านดอกเบี้ยอาจจะน้อยกว่า 2ครั้งแรก เพราะโดยธรรมชาติการส่งผ่านจะน้อยลง เมื่อดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับต่ำลงเรื่อยๆ แต่ธปท.คิดว่า ยังมีพื้นที่ที่จะส่งผ่านและคาดหวังว่า จะเห็นธนาคารพาณิชย์ส่งผ่านดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมในรอบนี้ 

ลดดอกเบี้ยนโยบายเหลว แบงก์ตอบรับไม่ถึงครึ่ง ธปท.เผยยังค้างท่อ 57%

“ส่วนตัวมองว่า ธนาคารพาณิชย์เองต้องการช่วยเหลือลูกหนี้ที่เป็นกลุ่มเปราะบางอยู่แล้ว ไม่ใช่แค่การส่งผ่านดอกเบี้ยนโยบายอย่างเดียว แต่เป็นมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ อย่างที่ทราบกันกันดีว่า ธปท.พยายามเน้นเรื่องการแก้ปัญหาหนี้ ลดภาระหนี้ของกลุ่มที่มีความเปราะบาง ซึ่งเป็นอีกเครื่องมือที่จะช่วยกันเสริม”

นายสักกะภพกล่าวว่า การลดดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้จะช่วยเสริมมาตรการต่างๆของธปท. โดยสิ่งที่ธปท.ทำเพิ่มเติมกับกระทรวงการคลังคือ ช่วยผลักดันเรื่องสภาพคล่องทั้งส่วนที่ช่วยลดต้นทุนและสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ(ซอฟต์โลน) วงเงิน 30,000 ล้านบาท และสินเชื่อเพื่อการปรับตัวอีก 70,000 ล้านบาท รวมถึงความพยายามทำเรื่องการแก้หนี้ ทั้งลูกหนี้กลุ่มที่ดีไปต่อไปได้และกลุ่มลูกหนี้ที่มีปัญหา 

“นโยบายการเงินไม่ได้เป็นคำตอบทั้งหมดของการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจ ซึ่งปกติการส่งผ่านดอกเบี้ยนโยบายจะใช้เวลาประมาณ 4ไตรมาส"

ดังนั้นผลยังค้างท่อรอการส่งผ่านอีกจำนวนหนึ่ง ส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ได้ปรับลดไปแล้ว ณ จุดนี้อยู่ในระดับพอสมควร แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์ที่เศรษฐกิจโดน Shock ที่มีความรุนแรง/เกิดอะไรขึ้น การเก็บ Policy Space ยังเป็นสิ่งสำคัญ

นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานยุทธศาสตร์ สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทยกล่าวกับ“ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ผู้ประกอบการและประชาชนต่างคาดหวังและขอบคุณกนง.ที่มีมติเอกฉันท์ลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จาก 1.75% เหลือ 1.50% ต่อปี ถือเป็นสัญญาณเชิงบวกที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ทั้งด้านการค้า การลงทุน และการจ้างงาน รวมถึงช่วยลดภาระหนี้สินในภาพรวมและลดภาวะเงินบาทแข็งค่า  

ลดดอกเบี้ยนโยบายเหลว แบงก์ตอบรับไม่ถึงครึ่ง ธปท.เผยยังค้างท่อ 57%

อย่างไรก็ตาม การลดดอกเบี้ยนโยบายเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ต้องควบคู่กับการทบทวนพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงที่ธนาคารใช้ในการคิดดอกเบี้ยเงินกู้ ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัวที่ปรับเปลี่ยนตามต้นทุนของธนาคารและสภาวะเศรษฐกิจ

ทั้งอัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี : MOR อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี: MRR และอัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี: MLR ให้รวดเร็วเพื่อส่งผลต่อการขับเคลื่อนต้นทุนทางการเงินแท้จริงของสถาบันการเงินที่เหมาะสมเป็นธรรมกับประชาชนเพิ่มมากยิ่งขึ้น 

“สถานการณ์เศรษฐกิจที่ชะลอตัว ควรปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่ง รวมทั้งการทบทวน Net Interest Margin (NIM) ของสถาบันการเงินที่เป็นธรรมมากขึ้นกับเศรษฐกิจฐานราก” 

รวมทั้งมาตรการการกำกับให้สถาบันการเงินดำเนินการตามกฎหมายและธรรมาภิบาล อาทิ การบังคับทำประกัน การผลักเอสเอ็มอีไปใช้สินเชื่อส่วนบุคคลแทนการใช้สินเชื่อธุรกิจที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า ทั้งๆที่เอสเอ็มอีสามารถใช้สินเชื่อธูรกิจได้ การคำนวณดอกเบี้ยปรับ และ Market Conduct เพื่อส่งผ่านต้นทุนทางการเงินที่แท้จริงสู่ประชาชนและผู้ประกอบการได้อย่างเป็นธรรม 

นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอแนะที่สำคัญคือการแก้ไขปัญหาหนี้สินทั้งระบบอย่างยั่งยืน โดยควรมีหน่วยงานที่มีอำนาจกำกับดูแลและมีผู้ไกล่เกลี่ยที่เป็นกลาง เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่มีเจ้าหนี้หลายรายสามารถเจรจาได้อย่างสะดวกและเป็นธรรม 

“สิ่งที่จำเป็นคือ การปรับปรุงเกณฑ์การพิจารณาปล่อยสินเชื่อให้ยืดหยุ่นขึ้น เพื่อให้เอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบได้ง่ายกว่าเดิม โดยเฉพาะสถาบันการเงินของรัฐและ บสย. ที่มีบทบาทสำคัญ ขณะเดียวกันก็เสนอให้มีมาตรการสินเชื่อเพิ่มสภาพคล่องแก่เอสเอ็มอี เช่น การปลดล็อกสินเชื่อ Factoring ให้แก่เอสเอ็มอีที่เป็น NPL และปรับโครงสร้างหนี้แล้ว เพื่อให้ธุรกิจสามารถเดินหน้าต่อไปได้” 

ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และ Chief Economist ธนาคารกรุงไทยกล่าวกับ“ฐานเศรษฐกิจ”ว่า การลดดอกเบี้ยของกนง.ที่ผ่านมาเป็นซีรีย์ของการลดดอกเบี้ยลงมาเรื่อยๆ รวมทั้งในรอบนี้ด้วย ซึ่งในฝั่งธนาคารพาณิชย์นั้น เข้าใจว่าแต่ละแห่งอยู่ระหว่างเตรียมประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงตามกนง. 

ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และ Chief Economist ธนาคารกรุงไทย

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยมีสภาพคล่องจำนวนมาก แม้จะมีเงินทุนไหลออกไปลงทุนต่างประเทศบ้าง ทำให้ช่องทางต่างๆ ในการส่งผ่านนโยบายการเงินไม่มีเพิ่มเติม ยกเว้นกรณีที่ธปท.กำลังเตรียมซอฟต์โลน 30,000 ล้านบาทและสินเชื่อเพื่อการปรับตัว 70,000 ล้านบาท 

สำหรับการส่งผ่านนโยบายการเงินตั้งแต่เดือน ต.ค.2567 ที่มีการลดดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรก จนถึงล่าสุด 13 สิงหาคม 2568 พบว่า ธนาคารพาณิชย์ที่มีความสำคัญต่อระบบในประเทศ(D-SIBs) 6 แห่งปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ MRR โดยธนาคาร กรุงเทพ(BBL) ปรับลด MRR ลง 0.4% ธนาคาร กรุงไทย (KTB) ลดลง 0.5% ธนาคาร กสิกรไทย (KBANK)  ลดลง 0.27% ธนาคารไทย พาณิชย์(SCB) ลดลง 0.25% ธนาคาร กรุงศรีอยุธยา(BAY) ลดลง 0.28% และธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB) ลดลง 0.275% 

อย่างไรก็ตาม หลังการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายล่าสุด  BBL นำร่องลดดอกเบี้ยเงินกู้ทั้งแผงทันที โดยประกาศลดดอกเบี้ยเงินกู้ 0.25% ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ย MLR อยู่ที่ 6.50%ต่อปี  MOR อยู่ที่ 6.75% ต่อปี และ MRR อยู่ที่ 6.65%ต่อปี โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 14 ส.ค. 2568 

นายไชยฤทธิ์ อนุชิตวรวงศ์ รองผู้จัดการใหญ่ BBLระบุว่า การปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้สอดคล้องกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเหลือ 1.50% เพื่อที่จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการลงทุน การบริโภค และลดต้นทุนทางการเงิน รวมถึงบรรเทาภาระหนี้ของภาคธุรกิจและประชาชน จากผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ และจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลงตามการแข่งขันในภูมิภาคที่รุนแรงขึ้น 

ลดดอกเบี้ยนโยบายเหลว แบงก์ตอบรับไม่ถึงครึ่ง ธปท.เผยยังค้างท่อ 57%

ถัดมาเช้าวันที่14 สิงหาคม KTB ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ย MOR เป็น 6.620 % ต่อปี อัตราดอกเบี้ย MRR เป็น 6.500 % ต่อปี และอัตราดอกเบี้ย MRR เป็น 7.045 % ต่อปี โดยมีผลในวันที่ 15 สิงหาคม 2568 ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากยังไม่เปลี่ยนแปลง 

นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ KTB กล่าวว่า ธนาคารกรุงไทยเร่งสนับสนุนคนไทยและธุรกิจไทยให้สามารถก้าวผ่านความท้าทายครั้งสำคัญ จึงประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 0.25% เพื่อช่วยลูกค้าทุกกลุ่มเร่งปรับตัว ภายใต้ข้อจำกัดจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่ยังต้องใช้เวลาในการแก้ไข ลดภาระทางการเงินของประชาชน โดยเฉพาะครัวเรือนกลุ่มเปราะบาง ผู้ประกอบอาชีพอิสระ และ SME ประคองธุรกิจ และลูกค้า ประชาชนให้เดินหน้าต่อไปได้ 

ตามด้วย BAY ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 0.25% ต่อปี โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2568 สอดคล้องกับดอกเบี้ยนโยบายเพื่อช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ตลอดจนช่วยลดต้นทุนทางการเงินและบรรเทาภาระของลูกค้าทั้งในภาคธุรกิจและรายย่อย 

นายเคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BAY กล่าวว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งในแนวทางที่กรุงศรีได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ต่างๆ สะท้อนถึงความห่วงใยและความมุ่งมั่นในการช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่ม 

ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกกลุ่ม 0.25% ต่อปี มีผลตั้งแต่วันที่ 15 ส.ค. 2568 โดยนายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาตกล่าวว่า เพื่อเพื่อช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่ม ตั้งแต่รายย่อย ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และกลุ่มลูกค้าธุรกิจ สำหรับผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่อ้างอิงอัตราดอกเบี้ย MLR, MOR และ MRR 

ล่าสุดนายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว ความเปราะบางของภาคธุรกิจและครัวเรือน และภาวะการเงินที่ตึงตัวสูง ธนาคารจึงปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทั้ง MLR, MOR และ MRR ลง 0.25% เพื่อลดภาระทางการเงินของลูกค้า และสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไปอย่างยั่งยืน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2568 

 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,123 วันที่ 17 - 20 สิงหาคม พ.ศ. 2568