เงินบาทอ่อนค่า ลุ้น 6 ปัจจัยสำคัญรุมเร้า สงคราม–ทองคำโลก

22 มิ.ย. 2568 | 06:30 น.

เงินบาทแตะระดับอ่อนสุดในรอบเดือน ท่ามกลางแรงกดดันจากสถานการณ์การเมือง–ต่างประเทศ สัปดาห์หน้า จับตา 6 ปัจจัยสำคัญเขย่าตลาด

สถานการณ์ค่าเงินบาทในสัปดาห์ที่ผ่านมาอ่อนค่าลงต่อเนื่อง แตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 1 เดือน สอดคล้องกับการเทขายสุทธิในตลาดหุ้นและพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติ ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ และแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก อาทิ ความตึงเครียดระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน และแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ตลอดสัปดาห์ เงินบาทอ่อนค่าลงในกรอบใกล้เคียงตลอดช่วง โดยมีแรงกดดันจากภาวะเงินทุนต่างชาติไหลออก และความวิตกต่อสถานการณ์การเมืองภายในประเทศ ขณะเดียวกัน เงินดอลลาร์สหรัฐฯ กลับมาแข็งค่าอีกครั้ง จากความกังวลเรื่องความขัดแย้งระหว่างอิหร่านและอิสราเอลที่ยังคงยืดเยื้อ บวกกับท่าทีจากประธานเฟดที่สะท้อนความระมัดระวังในการลดดอกเบี้ย

แม้ที่ประชุมเฟดครั้งล่าสุดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 4.25–4.50% แต่ dot plot ใหม่ยังส่งสัญญาณว่า มีแนวโน้มลดจำนวนรอบการปรับลดดอกเบี้ยในปี 2569 จากเดิม โดยยังคงคาดการณ์ว่าจะลดดอกเบี้ย 2 ครั้งภายในปีนี้

เงินบาทเคยอ่อนค่าลงไปแตะระดับ 32.94 บาทต่อดอลลาร์ฯ

ซึ่งเป็นระดับอ่อนค่าสุดตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2568 ก่อนจะกลับมาแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยช่วงปลายสัปดาห์ ตามทิศทางของสกุลเงินอื่นในเอเชีย หลังมีรายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ชะลอการตัดสินใจเกี่ยวกับการใช้กำลังทางทหารในสถานการณ์ระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน

ณ วันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน 2568 เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 32.75 บาทต่อดอลลาร์ฯ อ่อนค่าลงจากระดับ 32.44 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (13 มิถุนายน)

ด้านข้อมูลการลงทุนของต่างชาติระหว่างวันที่ 16–20 มิถุนายน พบว่า นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 9,727 ล้านบาท และมีสถานะเงินทุนไหลออกสุทธิจากตลาดพันธบัตรไทยรวม 13,248 ล้านบาท แบ่งเป็นการขายพันธบัตรสุทธิ 1,609 ล้านบาท และตราสารหนี้ครบกำหนด 11,638 ล้านบาท

กสิกรไทยประเมินว่า ในสัปดาห์ถัดไป (23–27 มิถุนายน 2568)

ค่าเงินบาทมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 32.40–33.20 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยมีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ ราคาทองคำในตลาดโลก ความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และคู่ค้า ตลอดจนสถานการณ์ตะวันออกกลางระหว่างอิหร่านและอิสราเอล

นอกจากนี้ ยังต้องจับตาข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่จะประกาศในช่วงเวลาดังกล่าว ได้แก่ ดัชนี PMI (เบื้องต้น) ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมิถุนายน ยอดขายบ้านใหม่-บ้านมือสอง ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน ดัชนีราคา PCE/Core PCE เดือนพฤษภาคม ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 1/2568 (final) และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะเดียวกัน ดัชนี PMI ภาคการผลิตและบริการของญี่ปุ่น ยูโรโซน และอังกฤษ ก็อยู่ในข่ายต้องติดตาม

หุ้นไทยดิ่งแรงแตะจุดต่ำสุดรอบ 2 เดือนครึ่ง

ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวลดลงแรงจากความกังวลในหลายด้าน โดยเฉพาะประเด็นการเมืองภายในประเทศและสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน

ในช่วงต้นสัปดาห์ ดัชนีหุ้นไทยเผชิญแรงกดดันจากข่าวลบเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างอิหร่านและอิสราเอล รวมถึงแรงเทขายหุ้นในกลุ่มธุรกิจสนามบิน หลังมีรายงานว่าคู่ค้าบางรายยื่นขอยกเลิกสัญญาสัมปทานดิวตี้ฟรี อย่างไรก็ดี แรงซื้อในหุ้นกลุ่มพลังงานขนาดใหญ่ช่วยจำกัดการปรับลงของดัชนีไว้บางส่วน

อย่างไรก็ตาม ดัชนีหุ้นไทยกลับมาร่วงลงอีกครั้งในช่วงกลางสัปดาห์ หลังมีข่าวเกี่ยวกับความขัดแย้งภายในพรรคร่วมรัฐบาล ประกอบกับรายงานความตึงเครียดระหว่างไทยและกัมพูชา ขณะเดียวกัน สถานการณ์ในตะวันออกกลางที่ยังไม่คลี่คลายยังคงกดดันบรรยากาศการลงทุนทั้งในไทยและภูมิภาค

แรงเทขายในหุ้นทุกกลุ่มมีความชัดเจนตลอดสัปดาห์ จนทำให้ดัชนี SET ร่วงลงไปแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 2 เดือนครึ่งที่ 1,066.02 จุด ก่อนจะฟื้นตัวได้บางส่วนช่วงปลายสัปดาห์ จากแรงซื้อหุ้นในกลุ่มธนาคาร

เมื่อปิดตลาดวันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน 2568 ดัชนี SET อยู่ที่ระดับ 1,067.63 จุด ลดลง 4.91% จากปลายสัปดาห์ก่อนหน้า มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้น 30.16% อยู่ที่ 40,182.81 ล้านบาท ขณะที่ดัชนี mai ลดลง 4.63% ปิดที่ระดับ 226.15 จุด

บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด ประเมินแนวรับของดัชนีหุ้นไทยในสัปดาห์หน้าไว้ที่ 1,050 และ 1,020 จุด และแนวต้านที่ 1,080 และ 1,100 จุด โดยมีปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ การประชุม กนง. ในวันที่ 25 มิถุนายน นโยบายภาษีของสหรัฐฯ ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง การเมืองในประเทศ และแนวโน้มฟันด์โฟลว์ต่างชาติ

ขณะเดียวกัน ยังมีข้อมูลเศรษฐกิจต่างประเทศที่สำคัญต่อทิศทางตลาด ได้แก่ ดัชนี PMI ภาคการผลิตและบริการเดือนมิถุนายน (เบื้องต้น) ของญี่ปุ่น ยูโรโซน และอังกฤษ ตลอดจนรายงานกำไรของบริษัทภาคอุตสาหกรรมจีนเดือนพฤษภาคม