วิทัย รัตนากร กับการขับเคลื่อนออมสินเป็น ”ธนาคารเพื่อสังคม“

17 มิ.ย. 2568 | 23:25 น.

“วิทัย รัตนากร” ขับเคลื่อนออมสินสู่บทบาท “ธนาคารเพื่อสังคม” ใช้กำไรธุรกิจหลักสนับสนุนภารกิจดูแลฐานราก ช่วยประชาชนแล้วกว่า 9 ล้านรายใน 5 ปี

ช่วงเกือบ 5 ปีที่ผ่านมา ธนาคารออมสินได้ปรับเปลี่ยนบทบาทการทำงานจากธนาคารรัฐเชิงพาณิชย์สู่การเป็น “ธนาคารเพื่อสังคม” หรือ Social Bank อย่างเต็มตัว ภายใต้นโยบายสำคัญของ “วิทัย รัตนากร” ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ที่วางกรอบการดำเนินธุรกิจ 2 โมเดลคู่ขนาน นั่นคือ การทำธุรกิจปกติในลักษณะเดียวกับธนาคารพาณิชย์ทั่วไป ควบคู่ไปกับการทำภารกิจเพื่อสังคม โดยใช้ผลกำไรจากธุรกิจหลักเข้ามาอุดหนุนภารกิจรองที่เน้นการดูแลประชาชนรายได้น้อย กลุ่มเปราะบาง และเศรษฐกิจฐานราก 

จากแนวทางดังกล่าว ออมสินสามารถให้ความช่วยเหลือประชาชนได้แล้วมากกว่า 8-9 ล้านคนภายในระยะเวลาไม่ถึง 5 ปี โดยมีบทบาทสำคัญในการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ผ่านมา ตลอดจนการสนับสนุนภาคธุรกิจรายย่อยให้สามารถเข้าถึงแหล่งทุนเพื่อฟื้นตัวและเติบโต 

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน

สำหรับปี 2568 นี้ ธนาคารออมสินได้วางเป้าหมายว่า จะสามารถดูแลประชาชนเพิ่มขึ้นอีกกว่า 2 ล้านคน ผ่านภารกิจหลัก 4 ด้าน ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การผลักดันให้ประชาชนเข้าถึงระบบสินเชื่อ การแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน การฝึกอบรมพัฒนาอาชีพ ไปจนถึงการสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อประคับประคองเศรษฐกิจ 

หนึ่งในภารกิจที่ออมสินให้ความสำคัญ คือ การดึงประชาชนกลุ่มฐานรากที่อยู่นอกระบบเข้าสู่ระบบสินเชื่อที่เป็นธรรม โดยการออกผลิตภัณฑ์สินเชื่อใหม่ในปี 2568 อย่าง “สินเชื่อสร้างเครดิต สร้างโอกาส” และ “สินเชื่อสร้างงาน สร้างอาชีพ” โดยมีกรอบวงเงินรวม 20,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนที่ไม่เคยมีประวัติกู้ยืมเงินกับธนาคารสามารถเริ่มต้นเข้าสู่ระบบสถาบันการเงินได้ ซึ่งจะเป็นการวางรากฐานด้านเครดิตให้กับกลุ่มเปราะบางในระยะยาว 

“สินเชื่อ 2 ตัวนี้ น่าจะช่วยเหลือประชาชนได้กว่า 6 แสนราย โดยเราตั้งเป้าหมายอนุมัติสินเชื่อสร้างเครดิต สร้างโอกาส ในปีแรก 3 แสนราย พร้อมกับอนุมัติสินเชื่อเพิ่มเติมอีก ในโครงการสร้างงาน สร้างอาชีพ ซึ่งโครงการที่เราทำเหล่านี้ไม่ได้มีกำไรเลย แต่เป็นการช่วยเหลือสังคม และไปทำกำไรจากโปรเจคใหญ่ ซึ่งเป็นการสร้างความสมดุลให้กับพอร์ตแบงก์” วิทัยกล่าว 

อีกหนึ่งภารกิจสำคัญคือ การเข้าไปมีบทบาทในเรื่องการแก้หนี้ครัวเรือน โดยเฉพาะกลุ่มที่กลายเป็นหนี้เสีย (NPL) ซึ่งออมสินได้เตรียมออกมาตรการใหม่เพื่อรองรับนโยบายรัฐบาลในการดูแลลูกหนี้รายย่อย คาดว่ามาตรการดังกล่าวจะสามารถช่วยเหลือประชาชนได้อีก 7-8 แสนราย โดยออมสินได้ใช้แนวทางผ่านบริษัทลูกที่จัดตั้งขึ้นใหม่ คือ บริษัท บริหารสินทรัพย์อารีย์ จำกัด (ARI-AMC) เพื่อเข้ามารับโอนหนี้และจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพอย่างมีระบบ และเป็นธรรม 

วิทัย รัตนากร กับการขับเคลื่อนออมสินเป็น ”ธนาคารเพื่อสังคม“

ขณะนี้ได้มีการโอนหนี้รอบแรกไปแล้ว และอยู่ระหว่างการประเมินผลเพื่อพิจารณาว่า หาก ARI-AMC สามารถสร้างผลกำไรได้ตามเป้าหมาย จะมีการใช้ส่วนหนึ่งของกำไรนั้นเพื่อนำไปช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การยกหนี้ให้กับลูกหนี้ที่ค้างชำระเพียงเล็กน้อยแต่ไม่สามารถติดตามตัวได้

“เราได้ตกลงกับบริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ หรือ BAM เมื่อ ARI-AMC ทำกำไรถึงจุดหนึ่งแล้ว ส่วนที่เหลือจะดูแลลูกหนี้ด้วยการยกหนี้ให้ เช่น ลูกหนี้ที่ค้างจ่าย 3-5 พันบาท แล้วหาตัวไม่เจอ เราก็พร้อมที่จะยกหนี้ให้เลย คาดว่าช่วยเหลือเหลือลูกหนี้ได้อีก 1 แสนคน” วิทัยย้ำ 

นอกจากนี้ ธนาคารออมสินยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะอาชีพ โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนและชุมชนผ่านโครงการ “ยุวพัฒน์รักษ์ถิ่น” ซึ่งเป็นความร่วมมือกับสถาบันการศึกษากว่า 64 แห่ง และวิสาหกิจชุมชนกว่า 990 ชุมชนทั่วประเทศ โครงการนี้สามารถอบรมและสร้างอาชีพให้ประชาชนได้ปีละกว่า 5-6 แสนราย สร้างความเข้มแข็งจากภายในชุมชนและลดการพึ่งพาสินเชื่อในระยะยาว

ในด้านการสนับสนุนภาคธุรกิจ 

ขณะเดียวกันออมสินยังเป็นธนาคารรัฐเพียงแห่งเดียวที่สามารถออกสินเชื่อซอฟต์โลนได้โดยไม่ต้องพึ่งพระราชกำหนด โดยช่วงกลางปี 2567 ที่ผ่านมา ออมสินได้ปล่อยสินเชื่อซอฟต์โลนวงเงินรวม 1 แสนล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME และจนถึงปัจจุบันสามารถอนุมัติสินเชื่อได้แล้วกว่า 7 หมื่นล้านบาท ถือเป็นอีกหนึ่งภารกิจสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมสามารถประคองตัวและเดินหน้าต่อได้

“การปล่อยสินเชื่อซอฟต์โลน 7 หมื่นล้านบาท เป็นไปตามเป้าหมายของเรา ซึ่งขณะนั้นประเมินว่ามีดีมานด์ประมาณ 7.5 หมื่นล้านบาท แต่เพื่อเป็นการเตรียมวงเงินไว้ดูแลเอสเอ็มอี เราจึงออกเป็นซอฟต์โลน 1 แสนล้านบาท โดยสามารถยื่นขอสินเชื่อได้ตั้งแต่เดือนก.ค.67 - ธ.ค.68 และเบิกเงินได้ถึงเดือนธ.ค.69 ซึ่งหากเอสเอ็มอีมีความต้องการเข้าถึงสินเชื่อ สามารถขอใช้ซอฟต์โลนดังกล่าวได้” วิทัยระบุ 

แม้ภารกิจเพื่อสังคมจะเป็นภารกิจที่ไม่เน้นผลกำไร แต่ธนาคารออมสินก็ยังสามารถรักษาผลประกอบการให้อยู่ในระดับที่แข็งแรงได้ โดยเฉพาะในด้านของการบริหารหนี้เสีย ปัจจุบัน NPL ของออมสินอยู่ที่ประมาณ 3.4% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ และธนาคารยังมีการตั้งเงินสำรองขาดทุนด้านเครดิตครอบคลุมไว้ในระดับ 160–170% ของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ 

“ยอมรับว่า เมื่อเราเป็นโซเชียลแบงก์ NPL จะต้องขึ้น เพราะเราต้องปล่อยสินเชื่อให้กับกลุ่มที่ไม่เคยปล่อย แต่ NPL ที่เพิ่มขึ้น จะต้องมีสำรองเพียงพอให้ครอบคลุมส่วนนั้น” วิทัยชี้แจง 

ที่สำคัญกว่านั้น ออมสินยังได้รับการปรับเป้าหมายจากกระทรวงการคลัง ให้เน้นกำไรในระดับที่เหมาะสม ไม่ใช่สูงสุด เพื่อให้สามารถรักษาบทบาทของการเป็นกลไกรัฐในการดูแลประชาชนต่อไปได้อย่างยั่งยืน 

“กว่าหลายล้านคนมากๆ ที่ผ่านเข้ามาในโครงการต่างๆ ของเรา ให้ผมคิดเร็วๆ อย่างน้อยต้องมี 8-9 ล้านคนแน่นอน ในช่วงเกือบ 5 ปีที่ผ่านมา ถามว่าประสบความสำเร็จหรือไม่ ก็คงไม่สามารถบอกได้ แต่สามารถช่วยคนได้จำนวนหนึ่ง เราเป็นฟันเฟืองหนึ่งที่เข้าไปช่วยบรรเทาปัญหาได้” วิทัยกล่าวทิ้งท้าย 

ทั้งหมดนี้คือภาพรวมของการเป็น “ธนาคารเพื่อสังคม” อย่างแท้จริง ที่ออมสินพยายามขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ด้วยกลไกที่สร้างสมดุลระหว่าง “ผลประกอบการ” กับ “ผลประโยชน์สาธารณะ” เป็นฟันเฟืองสำคัญในการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มประชาชนรายได้น้อย ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของประเทศ