เงินตราไม่ได้เป็นเพียงแค่สื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้า แต่ยังสะท้อนถึงอารยธรรม การปกครอง และความเจริญทางเศรษฐกิจของบ้านเมืองได้อย่างลึกซึ้ง
สำหรับประเทศไทย “เหรียญกษาปณ์” ถือเป็นวัตถุสำคัญที่ถ่ายทอดเรื่องราวประวัติศาสตร์ ความเปลี่ยนแปลงทางสังคม ตลอดจนพระราชกรณียกิจที่ยิ่งใหญ่ในแต่ละยุคสมัยอย่างมีคุณค่าและทรงพลัง
“พดด้วง” ถือเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าตั้งแต่สมัยสุโขทัย อยุธยา จนถึงต้นรัตนโกสินทร์ เมื่อเศรษฐกิจขยายตัวและมีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 จึงมีพระราชดำริให้ตั้งโรงกษาปณ์สิทธิการ โรงกษาปณ์แห่งแรกของไทย เพื่อผลิต “เหรียญกษาปณ์” ใช้เป็นครั้งแรก
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธีบดีกรมธนารักษ์ เล่าย้อนรอยอดีตถึงวิวัฒนาการเหรียญกษาปณ์ ว่า ในปี พ.ศ. 2399 ในสมัยรัชการที่ 4 สยามได้ผลิตเหรียญกษาปณ์รุ่นแรกขึ้นโดยวิธีทำมือ มีตราพระแสงจักร-พระมหามงกุฎ-พระเต้า เป็นสัญลักษณ์ นับเป็นเหรียญกษาปณ์กลมแบนรุ่นแรกที่ใช้ในประเทศ
สาเหตุที่ผลิตเหรียญกษาปณ์ดังกล่าวขึ้นใช้เนื่องจากการทำสนธิสัญญาเบาว์ริง เศรษฐกิจขยายตัวอย่างมาก ก่อให้เกิดปัญหาเงินพดด้วงในระบบเศรษฐกิจไม่พอใช้ และแก้ปัญหาเงินพดด้วงปลอมในท้องตลาดด้วย
ต่อมาในปี พ.ศ. 2400 รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้ส่งคณะราชทูตไปยังประเทศอังกฤษเพื่อจัดหาเครื่องจักรผลิตเหรียญ สมเด็จพระราชินีนาถวิคตอเรียจึงพระราชทานเครื่องทำเหรียญแรงงานคนกลับมายังสยาม พร้อมแม่พิมพ์เหรียญ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้เครื่องจักรในการผลิตเหรียญในประเทศไทย
เมื่อเข้าสู่สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นยุคแห่งการปฏิรูปและปรับปรุงประเทศ เหรียญกษาปณ์ก็ได้รับการพัฒนาอย่างจริงจัง
โดยรัชกาลที่ 5 ทรงให้สั่งซื้อเครื่องจักรสมัยใหม่และผลิตเหรียญหมุนเวียนตามมาตรฐานสากล เช่น เหรียญตราพระบรมรูป–ตราแผ่นดิน ในปี พ.ศ. 2419 มี 4 ชนิดราคา คือ ราคา 1 เฟื้อง, 1 สลึง, 50 สตางค์, และ 1 บาท ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ปรากฏพระบรมรูปของพระมหากษัตริย์ไทยบนเหรียญอย่างเป็นทางการ
“ในสมัยรัชการที่ 5 ยังได้มีการสถาปนา “กรมพระคลังมหาสมบัติ” เมื่อวันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2418 ซึ่งภายหลังกลายเป็นกระทรวงการคลัง โดยอยู่ภายใต้การดูแลของกรมธนารักษ์ ตั้งแต่ พ.ศ. 2476 สำหรับการผลิตและดูแลเหรียญกษาปณ์ของประเทศมาจนถึงปัจจุบัน”
นอกจากเหรียญที่ใช้หมุนเวียนในชีวิตประจำวันแล้ว ประเทศไทยยังได้จัดทำ “เหรียญที่ระลึก” ในวาระพิเศษเพื่อบันทึกเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ เช่น เหรียญที่ระลึกพระบรมรูปเฉลิมพระชนมพรรษา พ.ศ. 2414 ซึ่งเป็นเหรียญที่ระลึกพระบรมรูปครั้งแรกในสยาม เพื่อเฉลิมพระชนมพรรษา 17 พรรษา ของรัชกาลที่ 5
นอกจากนี้ ยังมีเหรียญที่ระลึกเสด็จนิวัตพระนคร พ.ศ. 2504 โดยเป็นเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกวาระแรก ในสมัยรัชกาลที่ 9 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้เสด็จเยือนต่างประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศในทวีปยุโรป รวม 14 ประเทศ เพื่อเสริมสร้างสัมพันธไมตรีและแลกเปลี่ยนความรู้กับนานาอารยประเทศ
ในสมัยรัชกาลที่ 10 ได้จัดทำเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก และเหรียญที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติในโอกาสพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 4 พฤษภาคม 2562 เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัววชิราลงกรณ บดินทรเทพวรางกูร และเผยแพร่พระเกียรติคุณของพระองค์ท่านให้แผ่ไพศาลทั้งภายในและภายนอกประเทศ รวมทั้งเพื่อเป็นสวัสดิมงคลของประเทศและราชอาณาจักร
กรมธนารักษ์ ยังได้จัดตั้ง “พิพิธภัณฑ์เหรียญกษาปณานุรักษ์” เพื่อจัดแสดงเหรียญกษาปณ์โบราณ เหรียญที่ระลึก และเหรียญจากนานาชาติ เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านเศรษฐกิจ ประวัติศาสตร์ และศิลปวัฒนธรรมอย่างครบวงจร เปิดโอกาสให้เยาวชน นักสะสม และประชาชนทั่วไปได้เรียนรู้และเข้าใจคุณค่าของเงินตราไทยในมิติต่างๆ
ประชาชนที่สนใจสามารถเข้าชมได้ในวันอังคาร- ศุกร์ เวลา 08.30-16.30 น. (รอบสุดท้ายเวลา 15.00 น.) วันเสาร์ - อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 10.00-18.00 น.(รอบสุดท้ายเวลา 16.00 น.) สำหรับวันจันทร์เปิดให้บริการเฉพาะ Museum Shop
นอกจากนั้น เนื่องในวาระครบรอบ 150 ปี กระทรวงการคลัง ปี 2568 กรมธนารักษ์ได้จัดนิทรรศการพิเศษ “กษาปณ์แรกแห่งสยาม...สู่ 150 ปี กระทรวงการคลัง” โดยรวบรวมเหรียญรุ่นสำคัญจากแต่ละยุค ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 จนถึงปัจจุบัน
พื่อแสดงให้เห็นว่า เหรียญแต่ละเหรียญไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือในการซื้อขายเท่านั้น แต่เป็นเสมือน บันทึกทางประวัติศาสตร์ของชาติไทย ที่บอกเล่าเรื่องราวของยุคสมัย พระมหากษัตริย์ เหตุการณ์สำคัญ และพัฒนาการทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างลึกซึ้ง
เรียกได้ว่า “เหรียญกษาปณ์ไทย” ไม่ได้มีแค่ค่าใช้จ่ายในเชิงเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความเปลี่ยนแปลง บันทึกทางประวัติศาสตร์ และเครื่องหมายแห่งความภูมิใจในความเป็นไทยที่สืบทอดมาอย่างยาวนาน ด้วยความใส่ใจของกระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์ เหรียญแต่ละเหรียญจึงเป็นมากกว่า “เงิน” แต่คือ “เรื่องราว” ที่ควรรู้ ควรจดจำ และควรถ่ายทอดสู่คนรุ่นต่อไป
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,093 วันที่ 4 - 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2568