คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประเดิมการประชุมครั้งแรกของปี 2568 ด้วยมติ 6 ต่อ 1 เสียง ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จากระดับ 2.25% เหลือ 2.00% ต่อปี แม้จะส่งสัญญาณว่า การปรับลดดอกเบี้ยของกนง. ยังไม่ใช่วัฏจักรของอัตราดอกเบี้ยขาลง (Easing Cycle)
แต่ตลาดจับตาว่า กนง.ปรับลดดอกเบี้ยลงก่อนที่คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) จะมีการประชุมรอบต่อไปในวันที่ 18-19 มี.ค.2568 หลังจากรอบแรกเมื่อ 28-29 ม.ค.2568 FOMC ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 4.25-4.50%
ขณะที่ตลาดคาดว่า มีโอกาสราว 33% ที่จะเห็นธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลอดอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้และมีโอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ยได้เกิน 1 ครั้งใน 2569 ซึ่งกดดันให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยีลด์) สหรัฐฯ 10 ปีทยอยปรับตัวลงสู่ระดับ 4.27%
โดยยังมีความเสี่ยงที่บอนด์ยีลด์ สหรัฐ 10ปี อาจปรับตัวสูงขึ้นได้บ้าง หากผู้เล่นในตลาดทยอยปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด
นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการ กนง.กล่าวว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งนี้ เพื่อให้ลดภาระหนี้ของครัวเรือนและธุรกิจ หลักๆในแง่การลดภาระของครัวเรือนคงเป็นเรื่องมาตรการการเงินที่เฉพาะจุดช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะมาตรการ “คุณสู้เราช่วย” ที่จะต้องประเมินผลลดภาระดอกเบี้ยในระยะต่อไป
อย่างไรก็ตามหากย้อนกลับไปดูการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเมื่อวันที่ 16 ต.ค. 2567 บอร์ด กนง.ด้วยมติ 5 ต่อ 2 เสียงให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ต่อปีจาก 2.50% เป็น 2.25% ต่อปีนั้น การส่งผ่านดอกเบี้ยนโยบายสู่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์
โดยเฉพาะ 6 ธนาคารพาณิชย์ที่มีความสำคัญต่อระบบในประเทศ (D-SIBs) ล่าสุด (26 ก.พ.68) เทียบกับอัตราดอกเบี้ยในที่ประชุม กนง. (16 ต.ค.67) พบว่า ผลตอบสนองกนง.ที่ผ่านมาเฉพาะ 6 แบงก์หรือ D-SIBs ทยอยปรับลด MRR ลง 0.125% และปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ (Saving) ลงในอัตรา 0.05%
เห็นได้จากธนาคาร กรุงเทพ ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (Minimum Overdraft Rate: MOR) ลง 0.2% อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี (Minimum Loan Rate: MLR) ปรับลดลง 0.2% และอัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี (Minimum Retail Rate :MRR) ลดลง 0.95%
นางสาวกาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัยศูนย์วิจัย กสิกรไทย เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า กลไกปกติ การลดดอกเบี้ยนโยบายจะมีการส่งผ่านสู่ดอกเบี้ยอื่นในตลาดการเงิน เช่น ดอกเบี้ยระยะสั้น (อัตราดอกเบี้ยอินเตอร์แบงก์
ดอกเบี้ยธุรกรรมซื้อคืนพันธบัตรแบบทวิภาคีของ ธปท. (Bilateral Repurchase) ดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนภาคเอกชน (Private Repo ) และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลหรือบอนด์ยีลด์ รวมถึงดอกเบี้ยในระบบธนาคารด้วย)
ส่วนการส่งผ่านสู่ดอกเบี้ยในระบบธนาคารนั้น การปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของ กนง.ในรอบก่อนหน้า รวมถึงในรอบเดือนต.ค.ที่ผ่านมา สิ่งที่เห็นคือ รูปแบบของการปรับลดดอกเบี้ยจะเกิดขึ้นทั้งฝั่งเงินกู้และเงินฝาก แต่จังหวะหรือขนาดการปรับลดดอกเบี้ย ขึ้นอยู่โครงสร้างของพอร์ตสินเชื่อ และเงินฝาก
รวมถึงสภาพคล่องที่ระดมจากช่องทางอื่นด้วย เพราะแต่ละธนาคารมีพอร์ตสินเชื่อและประเภทเงินฝากที่แตกต่างกัน ฉะนั้นคงต้องรอติดตามผลที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้
สำหรับผลตอบสนองหลังจากกนง.มีมติปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงมาอยู่ที่ 2.00% ต่อปี จะเริ่มเห็นค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอ่อนค่าตอบรับข่าวลดดอกเบี้ยนโยบาย โดยเมื่อวันที่ 25 ก.พ.ก่อนประชุมกนง. ค่าเงินบาทอยู่ที่ 33.71 บาทต่อดอลลาร์ และเคลื่อนไหวอยู่ที่ 33.90 บาทต่อดอลลาร์หลังการประชุมกนง. (26ก.พ.)
ส่วนตลาดหุ้นก็รับข่าวชัดเจน โดยเห็นการซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติ 2,063 ล้านบาท ขณะที่ตลาดบอนด์ไทยยังไม่ชัดเจน แม้จะเห็นการซื้อสุทธิ 364 ล้านบาท แต่วันที่ 27 ก.พ.เป็นการขายสุทธิ แต่จะเห็นบอนด์ยีลด์ปรับลดลงรับข่าวเช่นกัน
โดยบอนด์อายุต่ำกว่า 1 ปี ปรับลดลง 0.07-0.08% ส่วนอายุมากกว่า 1 ปีถึง 10 ปี ปรับลดลงอยู่ในกรอบ 0.05-0.08% เช่น บอนด์ยีลด์ 1 ปี ปิดตลาดวันที่ 26 ก.พ.ลดลงมาอยู่ที่ 1.98% จากเมื่อวันที่ 25 ก.พ.อยู่ที่ 2.06% ต่ำกว่า 6 เดือนลงมาอยู่ที่ 1.99% จาก 2.07% ต่ำกว่า 3 เดือนลงมาอยู่ที่ 2.00% จาก 2.07% ต่ำกว่า 1 เดือนลงมาอยู่ที่ 1.99% จาก 2.06%
“บอนด์ยีลด์ที่ปรับลดลงจะส่งผลต่อต้นทุนการออกหุ้นกู้ภาคธุรกิจที่ต่ำลง ส่วนจะถูกหรือแพงขึ้นอยู่กับความเสี่ยงเครดิตของธุรกิจที่จะออกหุ้นกู้ (Credit Spread) รวมถึงภาวะตลาดและพฤติกรรมของผู้ออม/ลงทุน” นางสาวกาญจนากล่าว
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 4,075 วันที่ 2 - 5 มีนาคม พ.ศ. 2568