นายธีรชาติ จิรจรัสพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาสมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทยและหัวหน้าคณะทำงานกลุ่มสินเชื่อรถยนต์ภายใต้สมาคมธนาคารไทยเปิดเผย“ฐานเศรษฐกิจ”ถึงสถานการณ์ตลาดรถยนต์และสินเชื่อรถยนต์ว่า สินเชื่อรถยนต์ปี 2568 มีแนวโน้มทรงตัวหรือหดตัวเล็กน้อย แต่ยังมีโอกาสเติบโตในแดนบวก หากปัจจัยลบคลี่คลายลงและได้รับแรงหนุนนโยบายส่งเสริมตลาดรถยนต์ในประเทศไทย
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า ยอดขายรถยนต์อยู่ที่ 5.3 แสนคัน หลังจากปี 2567 ยอดขายรถยนต์ใหม่ในประเทศลดลงอย่างมากลงมาที่ระดับ 572,568 คัน หรือลดลงถึง 26.19% ขณะที่ความเห็นของกลุ่มผู้ผลิตและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ มองโอกาสยอดขายในตลาดรถยนต์ใหม่อาจจะขยับขึ้นไปอยู่ในกรอบ 6 แสนคัน
“กลุ่มที่มีโอกาสเติบโตต่อเนื่องจากปี 2567 คือ กลุ่มรถยนต์ไฮบริด ซึ่งค่ายรถญี่ปุ่นเริ่มปรับ Product line ให้ครอบคลุมเป็นมาตรฐาน และค่ายรถจีน เริ่มมีการนำเข้าหรือเตรียมการผลิตรถยนต์ไฮบริดมากขึ้น”
ขณะที่ตลาดรถยนต์สันดาปมีแนวโน้มหดตัวลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ส่วนตลาดรถกระบะ (Pick-up) ไม่น่าจะลงลึกอาจมีโอกาสกลับมากระเตื้องเล็กน้อยจากสัญญานเศรษฐกิจและการลงทุนและการใช้จ่ายของภาครัฐที่กลับมาในแดนบวก ขณะที่ผู้ซื้อยังมีทางเลือกจากตลาดรถยนต์ใช้แล้วอีกทางด้วย
สำหรับตลาดรถไฟฟ้าประเภท BEV น่าจะเติบโตได้ที่ระดับ 1แสนคันได้ แม้ว่าปีที่ผ่านมา ยอดขายจะเหลือเพียงประมาณ 7หมื่นคันหรือหดตัวราว 5% ต่ำกว่าที่ผู้ขายรถยนต์เคยคาดการณ์ไว้
“ตลาดเซ็กเมนต์นี้ มีมุมมองที่แตกต่างกัน 2 ด้าน คือ ด้านหนึ่ง มองว่า ยอดขายที่กระเตื้องขึ้นในช่วงท้ายของปี 2567 มาจากสงครามราคา และหากไม่มีการลดราคา ยอดขายรถ BEV จะไม่ได้เพิ่มขึ้น เพราะผู้ซื้อรอเทคโนโลยีใหม่และรอการลดราคา"
ขณะที่ผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์มองว่า การทยอยเปิดตัวของรถยนต์ BEV รุ่นใหม่จะเป็นโอกาสกระตุ้นการตัดสินใจซื้อสำหรับกลุ่มผู้มีกำลังซื้อ วิเคราะห์จากพฤติกรรมการซื้อรถยนต์ในช่วง Motor Expo 2024 ที่ผ่านมา จะมีกลุ่มผู้ซื้อที่มีกำลังซื้อที่ดีกว่าเข้ามาขอสินเชื่อ พิจารณาจากการวางเงินดาวน์ที่สูงขึ้นความสามารถในการผ่อนชำระที่ดีกว่า
ขณะที่ตลาดรถยนต์ใช้แล้ว (รถมือสอง) ราคารถยนต์มือสองน่า จะกลับสู่สภาวะที่เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้นจากช่วง2 ปีก่อนหน้านี้ที่ได้รับผลกระทบจากคุณภาพหนี้ของสินเชื่อรถยนต์ที่แย่ลงมาก หลังมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ช่วงสถานการณ์โควิด-19 จบลง ทำให้เกิด Supply ของรถยึดเข้าสู่ลานประมูลจำนวนมาก และ การปรับลดราคารถยนต์ของผู้ผลิต เพื่อเคลียร์สต๊อก โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า
ดังนั้นมาตรการที่จะช่วยได้ตอนนี้ ที่เหมาะสมต้องแก้ปัญหาให้ถูกจุดและทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเดินหน้าได้ แต่ไม่ควรทำในลักษณะกระตุ้นยอดขายด้วยการหว่านแหชั่วคราว ซึ่งจะส่งผลเสียโดยรวมต่อทั้งระบบ ทั้งรายได้ภาครัฐและความยั่งยืนของผู้ขายรถยนต์ ที่สำคัญ ไม่ควรไปกระตุ้นคนที่ไม่มีกำลังซื้อหรือไม่พร้อมก่อหนี้ เพราะจะยิ่งเพิ่มปัญหาหนี้เสียและแก้ไขกันไม่จบ
“ส่วนตัวมองว่า มาตรการกระตุ้นที่ดี น่าจะเป็นมาตรการส่งเสริมยอดขายรถยนต์ภายในประเทศได้ในระยะยาว เช่น มาตรการให้ผู้ซื้อรถยนต์สามารถนำค่างวดผ่อนชำระมาหักค่าใช้จ่ายทางภาษีได้ ในลักษณะเดียวกับที่นิติบุคคลสามารถนำรถยนต์ลงบัญชีและหักค่าเสื่อมราคาเป็นค่าใช้จ่ายหรือหักค่าเช่าลีสซิ่งเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีได้”
ตัวอย่างเช่น หากซื้อรถยนต์รวมราคาประมาณ 1,000,000 บาท โดยมีการผ่อนชำระค่าเช่าซื้อทั้งปีประมาณ 200,000 บาท ในระยะเวลา 5 ปี และหากผู้ซื้อรถยนต์เสียภาษีเงินได้ในฐานภาษี 10% มูลค่าของภาษีที่ได้ลดหย่อนจะอยู่ที่ประมาณปีละ 20,000 บาท รวม 5 ปี ประมาณ 100,000 บาท
แนวทางนี้น่าจะส่งผลดีโดยรวมต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มคือ
ด้านคุณภาพสินเชื่อนั้น ตั้งแต่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ออกหลักเกณฑ์การปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible lending - RL) คุณภาพหนี้ของสถาบันการเงินดีขึ้นตามลำดับ ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อจำนวนรถยึดเข้าลานประมูลที่ไม่มากเช่น 2-3 ปีก่อน และล่าสุดมาตรการ “คุณสู้เราช่วย” ก็น่า จะมีส่วนช่วยคุณภาพหนี้ตรงนี้ด้วย แต่อาจจะไม่สูงเท่าระดับที่คาดหวังไว้
ในแง่การแข่งขันนั้น แม้การเติบโตของพอร์ตสินเชื่อมีข้อจำกัด แต่สถาบันการเงินผู้ให้สินเชื่อจะไม่แข่งเรื่องลดอัตราดอกเบี้ยหรือจ่ายค่าคอมมิชชั่นที่สูง เพราะสถาบันการเงินอยู่ในช่วงที่ต้องปรับตัวจากปัจจัยหลัก 5 ด้านคือ
“หากปัจจัยที่กล่าวมา มีแนวโน้มที่จะคลี่คลายลง จนทำให้ตลาดรถยนต์และสินเชื่อรถยนต์หลุดจากวังวนปัญหาเหล่านี้ สถาบันการเงินจะกลับมาปล่อยสินเชื่อได้ดีขึ้น”
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,069 วันที่ 9 - 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568