ดอกเบี้ยต่ำ กดเงินฝากรายย่อยติดลบ 0.3%

08 ก.ย. 2566 | 08:02 น.
อัปเดตล่าสุด :08 ก.ย. 2566 | 08:02 น.

“รายย่อย-กองทุน” โยกเงินหนีดอกเบี้ยต่ำ ส่งผลเงินฝากรายย่อยติดลบ 0.3% เหตุมีตัวเลือกลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า เงินฝากธุรกิจขยับขึ้นเล็กน้อย ฟากสินเชื่อโตต่ำ 0.5% เหตุภาครัฐ-ธุรกิจออกหุ้นกู้คืนหนี้ ล็อกต้นทุนรับดอกเบี้ยขาขึ้น

คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย (R/P) ต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2565 รวม 7 ครั้ง ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยปรับขึ้นจาก 0.75% สู่ระดับ 2.25% ล่าสุดธปท.ส่งสัญญาณว่า การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายใกล้จุดสมดุลและโจทย์ของนโนบายการเงินปัจจุบันต้องเปลี่ยนไปเป็น good landing ด้วยการทำนโยบายการเงินให้เหมาะสมกับภาพระยะปานกลางและระยะยาว

ด้านอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารพาณิชย์ในระบบล่าสุดพบว่า เงินฝากออมทรัพย์อยู่ที่ 0.125-2.0% เงินฝากประจำ 3เดือน 0.60-1.50% เงินฝากประจำ 6เดือน 0.70-1.60% เงินฝากประจำ 12เดือน 1.10-2.20 % และเงินฝากประจำ 24เดือน 1.30-2.00%

ดอกเบี้ยต่ำ กดเงินฝากรายย่อยติดลบ 0.3%

ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศ ประกอบด้วย อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี (MLR) อยู่ที่ 7.4532% อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) อยู่ที่ 7.7582% และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) อยู่ที่ 7.8033%

ขณะที่ข้อมูลเงินฝากธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศ ณ มิถุนายน 2566 จากธปท.พบ เงินฝากรวม 15.96 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 8 หมื่นล้านบาทหรือ 0.47% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 15.88 ล้านล้านบาทแต่ลดลง 1.8 แสนล้านบาท จากสิ้นปีก่อนอยู่ที่ 16.14 ล้านล้านบาท

สำหรับยอดเงินฝากคงค้าง 15.96 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นเงินฝากภาคธุรกิจ 4.18ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,749 ล้านบาทหรือเติบโต 0.089% แต่ลดลง 1.12 แสนล้านบาทหรือ 2.62% จากเดือนธันวาคม 2565 อยู่ที่ 4.3 ล้านล้านบาท และเงินฝากรายย่อยหรือบุคลลธรรมดา อยู่ที่ 8.85 7.73 ล้านล้านบาท ชะลอตัว 0.25% และลดลง 1.07% จากสิ้นเดือน ธ.ค.อยู่ที่ 8.94 ล้านล้านบาท

เมื่อพิจารณาในรายละเอียดพบว่า เงินฝากออมทรัพย์อยู่ที่ 10.71 ล้านล้านบาท ปรับลดลงในอัตรา 4.06% หรือ 4.53 แสนล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และลดลง 4.32 แสนล้านบาทหรือ 3.87% เมื่อเทียบจากเดือนธ.ค. 2565 และเงินฝากประจำ อยู่ที่ 4.44 ล้านล้านบาทเพิ่มขึ้น 12.78% หรือกว่า 5.08 แสนล้านบาทเทียบช่วงเดียวกันปีก่อนและเพิ่มขึ้น 2.49 แสนล้านบาทหรือ 5.93% จากเดือนธ.ค.ปีก่อน

นางสาวกาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ภาพรวมเงินฝากเติบโตชะลอตัว ขณะที่อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก (L/D) ขยับจาก 92.5% มาอยู่ที่ 93.6%  ส่วนเงินฝากกระแสรายวันและเงินฝากออมทรัพย์ (CASA) ปรับตัวชะลอลง ส่วนหนึ่งมาจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับขึ้นช้าหรือบางธนาคารอาจขยับบางผลิตภัณฑ์ แต่เงินฝากประจำ (FIX) ขยับเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เพราะดอกเบี้ยเงินฝากประจำที่ขยับเพิ่มขึ้น

นางสาวกาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

สำหรับเงินฝากภาคธุรกิจขยับเพิ่มเพียงเล็กน้อย 0.1% และเงินฝากรายย่อยติดลบ 0.3% ส่วนหนึ่งอาจมีตัวเลือกในการลงทุนที่มีการนำเสนอผลตอบแทนสูงกว่าผลิตภัณฑ์เงินฝาก เช่น หุ้นกู้เรทติ้งดี โดยเงินฝากรายย่อย ติดลบ 0.3% เงินฝากธุรกิจขยับขึ้นเล็กน้อยหรือเติบโตบางๆ 0.1% เทียบมิถุนายนปีก่อน

อย่างไรก็ตาม คาดว่า กรอบการเติบโตของเงินฝากจะขยับขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 4.0-5.5% ในปี 2566 ส่วนแคมเปญเงินฝากพิเศษเฉพาะธนาคารพาณิชย์ ช่วง 7เดือนแรกของปีนี้มีออกใหม่ 122ผลิตภัณฑ์ ซึ่งมีจำนวนมากกว่าที่ครบดีล โดยผลิตภัณฑ์เงินฝากที่ครบดีลมีเพียง 57 ผลิตภัณฑ์ แต่แคมเปญออกใหม่จะมีความหลากหลายและฟีเจอร์ของแคมเปญ เช่น บางแคมเปญรับเงินฝากเฉพาะช่วงเวลาที่กำหนด

ด้านสินเชื่อ แนวโน้มครึ่งปีหลัง น่าจะเห็นการกลับมาของสินเชื่อธุรกิจบ้าง โดยเฉพาะปัจจัยการเบิกใช้สินเชื่อในไตรมาส 4 ส่วนสินเชื่อรายย่อยทั้งไตรมาส 1-2 ประคองการเติบโตมาต่อเนื่อง ทำให้คงคาดการณ์เติบโตสินเชื่อทั้งปีไว้ในกรอบเดิมที่ 2.5-2.8% จาก 2.7% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

นางสาวกาญจนากล่าวว่า ปัจจัยกดดันการเติบโตของสินเชื่อ มาจากสินเชื่อธุรกิจรวมสินเชื่อภาครัฐ ติดลบ 5.0% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ส่วนสินเชื่อรายย่อยเติบโตในอัตรา 3.3% ชะลอจากไตรมาสแรกอยู่ที่ 3.4% ซึ่งสินเชื่อรายย่อยที่ยังขยายตัวได้แก่ สินเชื่อบ้าน, สินเชื่อรถยนต์และสินเชื่อส่วนบุคคลอื่นๆ ยกเว้น สินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลที่ชะลอตัว

ทั้งนี้ภาพรวมยอดคงค้างสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศ 17 แห่ง (ไม่รวมอินเตอร์แบงก์) ณเดือนมิถุนายนปีนี้ อยู่ที่ 14.73 ล้านล้านบาทจาก 14.71 ล้านล้านบาทเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน

“ครึ่งปีแรกสินเชื่อโตต่ำ โดยณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2566 เติบโต 0.5% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ปัจจัยกดดันมาจากการชำระคืนสินเชื่อ ทั้งไตรมาส 1 และ 2 ทั้งจากภาครัฐ ภาคธุรกิจและส่วนหนึ่งมีการออกหุ้นกู้คืนสินเชื่อแบงก์ เพื่อล็อกต้นทุนรับดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งเป็นภาพต่อเนื่องมาหลายไตรมาส รวมถึงความเสี่ยงด้านเครดิตจึงเติบโตในกรอบระมัดระวัง” นางสาวกาญจนาระบุ

 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,919 วันที่ 3 - 6 กันยายน พ.ศ. 2566