การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน เงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าแล้ว 0.7% ล่าสุด 18 พฤษภาคม 2566 อยู่ที่ระดับ 34.35 บาทต่อดอลลาร์จาก 34.61 บาทต่อดอลลาร์เมื่อสิ้นปี 2565 ขณะที่สกุลเงินเอเชียส่วนใหญ่เปลี่ยนไปในทิศทางอ่อนค่า ทั้งวอน ริงกิต เปโซ เยน ด่องและหยวน ส่วนทิศทางการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) คาดว่า จะยังคงไหลออกโดยขึ้นกับความชัดเจน ในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งที่ผ่านมาฟันด์โฟลว์ไหลออกสุทธิทั้งหุ้นไทยและพันธบัตร
นางสาวกาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ภาพรวมตั้งแต่ต้นปีเงินบาทแข็งค่าขณะที่ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง 0.7% ส่วนสกุลเงินเอเชียส่วนใหญ่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ เช่น เงินวอนอ่อนค่าลง 5.7% เงินเยนอ่อนค่า 4.3% ริงกิต อ่อนค่า 2.9% เงินหยวน 2.0% เปโซ 0.5% และดอลลาร์ฮ่องกง อ่อนค่าลง 0.3%
“ก่อนการเลือกตั้งเงินบาทแข็งค่า ส่วนหนึ่งเพราะมีฟันด์โฟลว์เข้ามาลงทุนในพันธบัตร(บอนด์)ระยะสั้น ประกอบกับตลาดคาดว่า ธนาคารกลางหรือท่าทีของเฟดที่ส่งสัญญาณจะหยุดขึ้นดอกเบี้ยหลังการประชุมรอบล่าสุดเมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา แต่หลังผลการเลือกตั้งของไทยออกมา ตลาดเริ่มมองว่า ยังมีความไม่แน่นอนในกระบวนการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ทำให้นักลงทุนต่างชาติทยอยขายสินทรัพย์ทำกำไรและเห็นเงินบาทอ่อนค่ามาเพียงไม่กี่วันถึงตอนนี้” นางสาวกาญจนากล่าว
อย่างไรก็ตามแนวโน้มเงินบาท ธนาคารกสิกรไทยประเมินว่า จะเคลื่อนไหวที่ระดับ 33.50 บาทต่อดอลลาร์ หากความไม่แน่นอนทางการเมืองคลี่คลายลง หรือเศรษฐกิจไทยได้รับแรงหนุนจากภาคท่องเที่ยวชัดขึ้น ทำให้แรงกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่าจะน้อยลงในครึ่งปีหลัง
เช่นเดียวกับทิศทางของฟันด์โฟลว์ในสายตานักลงทุนส่วนใหญ่ยังมองว่า กระบวนการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ต้องใช้เวลา ดังนั้นจึงเห็นนักลงทุนขายทำกำไรออกไป หลังผลการเลือกตั้งออกมา โดยตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ 17 พฤษภาคม ต่างชาติขายสุทธิหุ้นแล้ว 76,086 ล้านบาท และขายสุทธิในพันธบัตร 9,139 ล้านบาท ซึ่งตัวแปรหลักขึ้นอยู่กับภาพการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่ชัดขึ้น ซึ่งจะสะท้อนเศรษฐกิจไทยเดินหน้าต่อได้และแรงหนุนจากภาคการท่องเที่ยวช่วยให้เงินบาทกลับมาแข็งค่าในช่วงที่เหลือ
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยกล่าวว่า การแข็งค่าของเงินบาทอาจมีผลในแง่ผู้ประกอบการไม่ปิดความเสี่ยง แต่ผู้นำเข้ามีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (ทำเฮดจจิ้ง) ไปบ้างแล้ว แต่ผู้ส่งออกยังมีลังเลบ้าง ขณะที่การเคลื่อนไหวของค่าเงินยังสลับกัน (ระหว่างแข็งค่าและอ่อนค่า)
ในแง่การแข็งค่าของเงินบาท ส่วนตัวยังเชื่อว่า เงินบาทยังแข็งค่าและคาดว่า ปลายปีจะอยู่ที่ 32 บาทต่อดอลลลาร์ ซึ่งทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไม่น่าจะมีนโยบายหรือมาตรการใดออกมา เพราะขณะนี้เศรษฐกิจไทยมีสัญญาณที่ดีขึ้น เงินเฟ้อมีแนวโน้มชะลอตัวลง
แต่มองว่า ธปท.อาจจะมุ่งไปที่ศักยภาพสถาบันการเงิน ปัญหาหนี้ของภาคเอกชนและหนี้ครัวเรือน เพราะมีบทเรียนจากต่างประเทศที่ปรับดอกเบี้ยขึ้นแล้ว เกิดการกดดันต่อต้นทุนเพิ่มขึ้น ซึ่งต้องจับตาว่า ธปท.จะมีมาตรการใดออกมาเพิ่มเติม
สำหรับภาพรวมที่ผ่านมาเงินบาทแข็งค่านำสกุลเงินต่างๆ โดยเกาหลีใต้มีความชัดเจนจากผลกระทบจากการส่งออก (เทคโนโลยี,อิเลคทรอนิกส์)ชะลอตัวตามเศรษฐกิจโลกและหุ้นกลุ่มเทค ซึ่งกดดันต่อค่าเงินวอน
ส่วนเงินเยน เป็นการอ่อนค่าจากการดำเนินนโยบายการเงินที่ยังผ่อนคลาย (ทำให้ดอกเบี้ยติดลบและทำมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณหรือ QE) เมื่อเทียบสหรัฐที่หยุดขึ้นดอกเบี้ยแล้ว หากแนวโน้มสกุลเงินดอลลาร์ค่อยๆ อ่อนค่า ก็จะลดแรงกดดันต่อเงินเยน คาดว่าเงินเยนใกล้ถึงจุดกลับตัวจากการอ่อนค่าในอนาคต
“มองว่าไตรมาส2 ปีนี้ เมื่อเศรษฐกิจของญี่ปุ่นดีขึ้นและเงินเฟ้อสูงขึ้น อาจจะเห็นธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินที่เข้มงวดได้หรือปรับขึ้นดอกเบี้ย เพราะฉะนั้นแนวโน้มเงินเยนควรจะแข็งค่าในระดับหนึ่ง”
นอกจากนี้ ความเสี่ยงระยะสั้นคือ การเมืองสหรัฐประเด็นเพดานหนี้ หากปลายปีเศรษฐกิจสหรัฐฯถดถอยมีโอกาสเห็นคนอยากถือเงินเยนเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยอาจจะช่วยค่าเงินเยน
ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้าน สปป.ลาวเศรษฐกิจไม่ดีมาก แต่ปัจจัยภายนอกทั้งสัญญาณเฟดจะหยุดขึ้นดอกเบี้ยและจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะกลับมาฟื้นตัวอาจจะช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินกีบ แต่สปป.ลาว ยังมีประเด็นด้านการคลัง รัฐบาลมีหนี้สินค่อนข้างมาก เนื่องจากการใช้เงินกู้มาลงทุนโครงสร้างพื้นฐานช่วงที่ผ่านมา
“แนวโน้มเงินบาทโอกาสแข็งค่าต่อเนื่อง จากปัจจัยพื้นฐานที่ดี และที่ผ่านมามีโฟลว์ทองคำด้วย ส่วนประเด็นการเมืองหรือผลการจัดตั้งรัฐบาลนั้น จะมีผลต่อฟันด์โฟลว์ จากที่ผ่านมาต่างชาติขายสุทธิทั้งหุ้นและบอนด์ เพราะฉะนั้นโอกาสนักลงทุนต่างชาติจะเข้าซื้อหุ้นนั้น การเมืองต้องนิ่ง แต่หากจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ ก็จะเห็นฟันด์โฟลว์ไหลออก”นายพูนกล่าว
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 ฉบับที่ ฟ3,889 วันที่ 21 - 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2566