แบงก์ชาติ ชี้ธนาคารตั้งสำรองกรณี "STARK" ถือเป็นเรื่องปกติ ยันไม่กระทบ

24 เม.ย. 2566 | 10:17 น.

ผู้ว่าแบงก์ชาติ ชี้กรณีธนาคารตั้งสำรองรองรับปัญหา "STARK" ถือเป็นเรื่องปกติ มองภาพรวมธุรกิจขนาดใหญ่ไม่ได้มีปัญหาจนน่ากังวล รวมทั้งไม่กระทบต่อเสถียรภาพระบบสถาบันการเงิน

นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงกรณีธุรกิจ บริษัท สตาร์ค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) "STARK" ที่ทำให้สถาบันการเงินต้องตั้งสำรองเพิ่มขึ้น เรื่องดังกล่าวถือว่าเป็นเรื่องปกติ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้กับรายธุรกิจ เพราะธุรกิจบางรายอาจมีปัญหาบ้าง ซึ่งไม่ได้มีอะไรน่าห่วง

รวมทั้งธุรกิจขนาดใหญ่ภาพรวมก็ไม่ได้มีปัญหาจนน่ากังวล และไม่กระทบต่อเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงิน

อย่างไรก็ตามการที่ธนาคารพาณิชย์ได้มีการตั้งสำรองแล้ว ถือเป็นเรื่องดีที่ เพราะมีการระมัดระวัง ขณะที่ในภาพรวมธุรกิจรายใหญ่ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่น่ากังวลและไม่กระทบต่อเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงิน

เนื่องจากสถาบันการเงินมีบทเรียนชัดตั้งแต่ปี 2540 เพราะถ้าหากทำอะไรผิดไปจะใช้เวลาแก้ไขนาน ซึ่งสถาบันการเงินมีการตั้งสำรองไว้เป็นเรื่องปกติ

ในขณะที่มุมมองของ บริษัทหลักทรัพย์(บล.) ทรีนีตี้ จำกัด โดยนายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ ระบุว่า ที่ผ่านมาการประกาศผลประกอบการของ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) แม้จะปรับลดประมาณการกำไรปี 66 ลงเล็กน้อย 1.3% มาอยู่ที่ 40,449 ล้านบาท (+13% YoY)

โดยเป็นการปรับเพิ่มประมาณการสำรองหนี้มาอยู่ที่ 200 bps จากเดิมคาดที่ 185 bps เนื่องจากผู้บริหารให้มองว่าค่าใช้จ่ายสำรองหนี้จะยังอยู่ในระดับสูง

แม้ว่าจะมีการตั้งสำรองส่วนเกินเพื่อรองรับความเสียงจากลูกหนี้รายใหญ่ไว้เกือบเต็มจำนวนแล้วก็ตาม แต่ในอีกด้านหนึ่งเราได้มีการปรับเพิ่มประมาณการ NIM จากแนวโน้ม NIM ในช่วงที่เหลือของปีที่อาจปรับตัวดีขึ้น

ทั้งนี้มองว่าราคาหุ้นปัจจุบันสะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว จึงคงคำแนะนำ "ซื้อ" ในเชิงพื้นฐาน พร้อมปรับลดราคาเป้าหมายลงเหลือ 158 บาทจาก 167 บาท

ขณะที่ทางฝั่ง ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เป็นอีกหนึ่งธนาคารที่กำไรออกมาในเกณฑ์ดี โดยดีกว่าที่เราคาดราว 9% โดยหลักมาจากรายได้มิใช่ดอกเบี้ยที่เดิบโตสูงหลังกำไรจากเงินลงทุนเพิ่มขึ้นที่สำคัญ กำไรที่ออกมาดีนั้นเกิดขึ้น

แม้ว่าค่าใช้จ่ายสำรองหนี้จะเพิ่มขึ้นถึง 40% QoQ จากการตั้งสำรองส่วนเกินสำหรับลูกหนี้รายใหญ่ที่มีปัญหา และมีการเพิ่มสำรอง ส่วนเกินหรือ Management Overlay ส่งผลให้ล่าสุด NPL Coverage ratio ของธนาคารเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 164% จากเดิม 160%

ทั้งนี้ ยังคงคาดกำไรทั้งปี 2566 ที่ 43,460 ล้านบาท ดีขึ้น 18% YoY โดยหลักเป็นผลจากภาษีจ่ายที่ลดลงหลังปูรับโครงสร้างธุรกิจแล้วเสร็จ พร้อมคงราคาเป้าหมายที่ 145 บาท แนะนำ "ซื้อ" ในเชิงพื้นฐาน

ด้าน บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า สินทรัพย์มีคุณภาพดูดี ทั้ง 2 ถึงแม้จะมีผลกระทบจาก STARK อย่าง KBANK และ SCBX

ถึงแม้การแถลงผลประกอบการในรอบที่ผ่านมา ทั้ง 2 แห่ง มีการรายงานถึงสินทรัพย์ที่มีคุณภาพขององค์กรขนาดใหญ่ได้อ่อนตัวลงในช่วงไตรมาส แม้จะไม่ได้กล่าวถึงชื่อบริษัทแบบเฉพาะเจาะจง แต่คาดว่าจะเป็น STARK

ยังคงแนะนำ "ซื้อ" SCB โดยมีมูลค่าที่เหมาะสม 130.00 บาท

พร้อมแนะนำให้ "ซื้อ" KBANK โดยมีมูลค่าที่เหมาะสม 160.00 บาท