สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.)หรือสภาพัฒน์จะรายงานตัวเลขเศรษฐกิจไทย(จีดีพี)ไตรมาส 3 ปีนี้ในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 ขณะตลาดปรับคาดการณ์ที่มีสัญญาณ “บวก”ต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย(จีดีพี)ทั้งปีนี้
ส่วนใหญ่คาดว่า แม้กิจกรรมทางเศรษฐกิจไตรมาส 3 ค่อนข้างชะลอตัว แต่เป็นสถานการณ์ระยะสั้นที่ไม่ส่งผลต่อไตรมาส 4 โดยเฉพาะความคาดหวังจากทั้งนโยบายทางการคลัง “คนละครึ่งพลัส”
รวมถึงการลดอัตราดอกเบี้ยในระบบ (การส่งผ่านนโยบายการเงินหลังคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)ทยอยลดดอกเบี้ยนโยบายลงสู่ระดับ 1.50%) น่าจะช่วยลดภาระของผู้กู้และหนุนให้สินเชื่อกลับมาขยายตัวได้
นางสาวณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด (KResearch) เปิดเผย“ฐานเศรษฐกิจ”ว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปีนี้ เดิมประมาณการณ์จีดีพีทั้งปีนี้ไว้ที่ 1.8% เพราะยังไม่มีโครงการคนละครึ่งพลัส ซึ่งภายใต้โครงการนี้น่าจะช่วยผลักดันจีดีพีได้อีกประมาณ 0.15%
ขณะที่ตัวเลขการท่องเที่ยวที่เข้าสู่ไฮซีซันในไตรมาส4 จำนวนนักท่องเที่ยวจีนมีแนวโน้มจะหดตัวน้อยกว่าที่ประเมินไว้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจะทบทวนตัวเลขจากเดิมมองไว้ 32.2 ล้านคนอาจจะไปที่ใกล้ 33 ล้านคน
ดังนั้นจากทั้ง 2 ปัจจัยดังกล่าว น่าจะมีผลต่อการปรับประมาณการจีดีพีเพิ่มขึ้น แต่ขอรอตัวเลขเศรษฐกิจจริงจากสภาพัฒน์ก่อน ซึ่งไตรมาส 3 จีดีพีอาจจะชะลอลงอย่างมีนัยสำคัญ จากครึ่งปีแรกที่จีดีพีขยายตัวได้ 3%
ส่วนไตรมาส4 แนวโน้มจีดีพีน่าจะขยายตัวได้ 1.0% ตามที่กระทรวงการคลังตั้งเป้าไว้ โดยมองว่า ท้ายปีนี้เริ่มมีสัญญาณบวกบ้าง”
อย่างไรก็ตาม ยังมีความเสี่ยงในปีหน้า ทั้งความเสี่ยงเรื่องนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลสูงสุด (Supreme Court) หากมีผลอาจจะมีผลระยะสั้นต่อการส่งออก และปีหน้าไทยจะมีการเลือกตั้งด้วย
สำหรับท่าทีของกนง. ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังมองว่า มีโอกาสที่กนง.จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในรอบการประชุมเดือนธันวาคมปีนี้ แต่ถ้าภาพเศรษฐกิจไตรมาส 3 ดีกว่าที่ประเมินไว้ มีโอกาสที่จะเห็น กนง.จะคงดอกเบี้ยนโยบายก็มีมากขึ้น
ส่วนอัตราเงินเฟ้อของไทยที่ติดลบต่อเนื่องเป็นกลไกของราคาและผลผลิตสินค้าเกษตรและราคาพลังงานเป็นสำคัญ นอกจากนี้ของใช้ในชีวิตประจำวันบางส่วนมีสินค้าราคาถูกที่นำเข้ามาจำนวนมาก
กรมศุลกากรได้มีมาตรการจัดเก็บอากรนำเข้ากับสินค้าที่มาจากการสั่งซื้อผ่านแพลตฟอร์มตั้งแต่บาทแรกตั้งวันที่ 1 มกราคม 2569 น่าจะช่วยสร้างความเป็นธรรมให้กับผู้ประกอบการไทย ส่วนผลกระทบต่อเงินเฟ้อยังต้องติดตาม แต่ยังไม่สำคัญเท่ากับว่า เงินเฟ้อที่ติดลบต่อเนื่อง แม้จะมาจากซัพพลาย แต่ต้องติดตามการขยายตัวของราคาสินค้าในวงกว้าง ซึ่งมีความเสี่ยงสัญญาณเงินฝืดเช่นกัน
นายเมธัส รัตนซ้อน หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU)กล่าวกับ“ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ในทางเศรษฐศาสตร์ภาวะปัจจุบันยังไม่เรียกว่าเป็น “เงินฝืด” เพราะยังไม่เห็นการลดลงของราคาสินค้าที่กระจายตัว
ปัจจัยหลักที่ทำให้เงินเฟ้อต่ำ/ติดลบยังคงมาจาก 2ส่วนสำคัญ คือ ราคาพลังงานกับราคาอาหารสด ด้วยมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของรัฐบาล(ลดค่า FT/ค่าไฟฟ้า)เสริมให้เงินเฟ้อต่ำต่อเนื่อง
ส่วนราคาพลังงาน(ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก) ที่ทุกคนกลัวว่า มาตรการภาษีนำเข้าของทรัมป์จะทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกขยายตัวได้ชะลอลง จนกังวลว่า ความต้องการใช้น้ำมัน/ราคาน้ำมันน่าจะลดลงด้วย ทำให้ราคาน้ำมันปีนี้ต่ำกว่าปีที่แล้ว
ขณะที่ราคาอาหารสดเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ปริมาณการผลิตอาหาร โดยเฉพาะผักและผลไม้มีผลผลิตออกมาได้มากกว่าทำให้ราคาลดลงจากปีที่แล้ว
“แนวโน้มตัวเลขเงินเฟ้อเดือนพฤศจิกายน คาดว่า ยังติดลบต่อ แต่น่าจะติดลบน้อยลง เพราะมีมาตรการของภาครัฐเข้ามาช่วยและอาจจะเห็นการปรับราคาสินค้าบางรายขึ้นได้บ้าง"
ส่วนเรื่องน้ำท่วมในหลายพื้นที่อาจกระทบราคาพืชผักและผลผลิตอาจจะเหลือน้อยลง แต่หลังจากตัวเลขเดือนตุลาคมออกมาและรัฐบาลยืนยันว่า มาตรการบรรเทาค่าครองชีพ ทั้งการลดค่าไฟฟ้า ตรึงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลน่าจะทำให้เงินเฟ้อต่ำกว่าที่ประเมินไว้
ดังนั้น TISCO ESU จึงปรับคาดการณ์เงินเฟ้อทั้งปีนี้จากเดิมน่าจะอยู่ที่ 0.0% เป็น -0.2% หลังจากเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ น่าจะบวกได้ 0.2%
ส่วนปีหน้าเงินเฟ้อคงจะกลับมาบวกได้บ้าง เพราะผลของฐาน ซึ่งราคาน้ำมันในตลาดโลกเพิ่งจะเริ่มดีดขึ้นบ้าง แต่คงจะเห็นต่ำกว่าเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) โดยเป้าหมายขอบล่างของธปท.ต้องทำให้ไม่ต่ำกว่า 1.0% แต่ส่วนตัวคิดว่า จะอยู่ที่ 0.8% ซึ่งต่ำกว่า 1.0%อยู่แล้ว
นายเมธัสกล่าวถึงแนวโน้มจีดีพี ไตรมาส 3 ที่สภาพัฒน์จะแถลงในวันที่ 17 ธันวาคมว่า จีดีพีน่าจะขยายตัว 1.6% ลดลงประมาณ 0.5% จากไตรมาส 2 สะท้อนแรงส่งไตรมาสต่อไตรมาสค่อนข้างแย่
โดยภาพเศรษฐกิจเล็กลงในไตรมาส 3 มาจากผลเชิงลบจากสงครามทางการค้า และการฟื้นตัวที่ช้าของภาคการท่องเที่ยว รวมทั้งการปิดซ่อมบำรุงสายการผลิตในหลายอุตสาหกรรม (ปิโตรเคมี,การผลิตรถยนต์)
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 4,149 วันที่ 16 - 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568