ทองคำพุ่งแรงรับเฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย จีนกวาดซื้อทอง ดันราคาทะลุ 61,000 บาท

07 ต.ค. 2568 | 23:00 น.

โบรกประเมินราคาทองคำเดือนต.ค. ปรับตัวขึ้นต่อ รับแรงหนุนความคาดหวังที่เฟดหั่นดอกเบี้ย หลังตัวเลขจ้างงานสหรัฐฯ ซบเซา มองกรอบราคาทองคำ 60,300 - 61,850 บาท ดอลลาร์/ออนซ์ หากหลุดแนวรับชะลอการลงทุนเพื่อประเมินสถานการณ์รอบใหม่

KEY

POINTS

  • ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ส่งสัญญาณเตรียมปรับลดอัตราดอกเบี้ยหลายครั้งภายในสิ้นปีนี้และปีต่อๆ ไป
  • ธนาคารกลางจีนและกลุ่มประเทศ BRIC เร่งซื้อทองคำเข้าเป็นทุนสำรองอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดการพึ่งพิงเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นแรงหนุนสำคัญต่อราคา
  • ปัจจัยความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจโลก เช่น การชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐฯ และความขัดแย้งทางการค้า หนุนให้นักลงทุนเข้าถือทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ดันราคาให้มีแนวโน้มทะลุ 61,000 บาท

นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด เปิดเผยว่า ประเมินว่าราคาทองคำในช่วงเดือนต.ค. 68 นี้ มีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อ จากความคาดหวังที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมประจำวันที่ 28 - 29 ต.ค.นี้ เนื่องจากการจ้างงานสหรัฐยังคงซบเซา

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% รวม 0.50% ภายสิ้นปีนี้ พร้อมกับส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% จำนวน 1 ครั้งในปี 2569 และลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% จำนวน 1 ครั้งในปี 2570 ขณะที่เงินเฟ้อใกล้เคียงกับคาดการณ์ และยังได้แรงหนุนเพิ่มเติมในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย

โดยทางธนาคารกลางของประเทศในกลุ่ม BRIC โดยเฉพาะจีน เดินหน้าซื้อทองคำอย่างต่อเนื่อง เพื่อกระจายความเสี่ยงในระบบทุนสำรอง ลดการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยข้อมูลล่าสุดระบุว่า การส่งออกทองคำจากสวิตเซอร์แลนด์ไปยังจีนในเดือนส.ค. เพิ่มขึ้นถึง 254% เมื่อเทียบกับเดือนก.ค. สะท้อนแนวโน้มการสะสมทองคำที่ยังคงดำเนินต่อไป

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาหน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ได้เริ่มปิดการดำเนินงาน หรือ ชัตดาวน์ อย่างเป็นทางการแล้วในวันที่ 1 ต.ค. ซึ่งจะเป็นการปิดหน่วยงานรัฐบาลครั้งแรกในรอบเกือบ 7 ปี และครั้งที่ 3 ภายใต้การบริหารของ ปธน.ทรัมป์ ทำให้นักลงทุนเข้าถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย

และส่งผลกระทบต่อตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐ อาทิ ตัวเลขการจ้างงาน ตัวเลขเงินเฟ้อที่จะประกาศในช่วงกลางเดือนนี้ ไม่สามารถประกาศได้ ทำให้แนวโน้มทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟดมีความไม่แน่นอน

ส่วนสถานการณ์ความตึงเครียดทางการค้ายังมีอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด จีนประกาศเก็บภาษีเพิ่มเติมสำหรับเส้นใยแก้วนำแสงที่นำเข้าจากสหรัฐฯ หลังการสอบสวนพบว่าบริษัทสหรัฐฯ พยายามเลี่ยงมาตรการต่อต้านการทุ่มตลาด

สร้างความกังวลต่อนักลงทุนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสองประเทศ และยังเรียกร้องให้สหภาพยุโรป (EU) เก็บภาษีศุลกากรจากอินเดีย และจีน ในอัตราสูงสุดถึง 100% เพื่อตอบโต้การที่ทั้งสองประเทศยังคงซื้อน้ำมันจากรัสเซีย

ขณะเดียวกัน EU เตรียมมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียรอบที่ 19 พร้อมเพิ่มความช่วยเหลือแก่ยูเครน โดยทรัมป์ยังโพสต์ข้อความใน Truth Social ระบุเหตุผลที่สหรัฐฯ ตั้งกำแพงภาษีสูงถึง 50% ต่ออินเดีย เนื่องจากถูกเอาเปรียบมาโดยตลอด และประกาศเตรียมเรียกเก็บภาษีศุลกากร 100% จากยาที่มีแบรนด์หรือสิทธิบัตร โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 68 ยกเว้นบริษัทที่ตั้งโรงงานผลิตในสหรัฐ

นอกจากนี้ความไม่แน่นอนของสงครามการค้ารอบใหม่ และความไม่แน่นอนของปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งผู้นำรัสเซีย กล่าวว่า รัสเซียไม่เคยคัดค้านการที่ยูเครนจะเข้าร่วมเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป (EU) และเขาคิดว่ายังคงเป็นไปได้ที่จะหาฉันทามติในประเด็นการรับประกันความมั่นคงของรัสเซียและยูเครน ซึ่งปัจจัยดังกล่าวถือเป็นปัจจัยหนุนทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย

อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 3/68 ปรับขึ้นแล้วกว่า 16% ส่งผลให้นักวิเคราะห์เตือนนักลงทุนให้ระวังแรงขายทำกำไรในระยะสั้น

ดังนั้น คาดการณ์แนวโน้มราคาทองคำในเดือนตุลาคมนี้จะแกว่งตัวอยู่ในกรอบ 3,900 - 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือคิดเป็นราคา 60,300 - 61,850 บาท (อิงตามอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท วันที่ 7 ต.ค. ที่ระดับ 32.53 บาท)

หากราคาหลุดแนวรับที่ระดับล่างของกรอบดังกล่าว นักลงทุนควรชะลอการลงทุนเพื่อประเมินสถานการณ์อีกครั้ง