ฮ่องกง-สิงคโปร์-มาเลเซีย-ไทย แชร์กลยุทธ์สกัดมิจฉาชีพ-ภัยการเงินดิจิทัล

19 ก.ย. 2568 | 06:56 น.
อัปเดตล่าสุด :19 ก.ย. 2568 | 08:52 น.

ธนาคารแห่งประเทศไทย รวม 4 ชาติ ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย และไทย เปิดเวทีแลกเปลี่ยนแนวทางสกัดภัยการเงินยุคดิจิทัล ชูป้องกัน ตรวจจับ กู้คืน เสริมความเชื่อมั่นระบบการเงินท่ามกลางภัยไซเบอร์

KEY

POINTS

  • ฮ่องกงและไทยเน้นการใช้เทคโนโลยีและกฎหมายเพื่อสร้างศูนย์กลางแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างธนาคารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ช่วยให้สกัดเส้นทางการเงินของมิจฉาชีพได้รวดเร็วขึ้น
  • สิงคโปร์และมาเลเซียยกระดับมาตรการความปลอดภัยเชิงป้องกัน เช่น การกำหนดช่วงเวลาให้ทบทวนก่อนยืนยันธุรกรรม (Cooling-off Period) และกลไกอายัดบัญชีฉุกเฉิน (Kill Switch) โดยยอมรับความล่าช้าที่เพิ่มขึ้นเพื่อความปลอดภัย
  • ทุกประเทศเห็นตรงกันว่าการสร้างภูมิคุ้มกันและความตระหนักรู้ให้แก่ประชาชนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยเน้นการให้ความรู้ผ่านช่องทางต่างๆ ตั้งแต่ระบบการศึกษาไปจนถึงสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อให้ประชาชนรู้เท่าทันกลโกง

วันที่ 19 กันยายน 2568 ธนาคารแห่งประเทศไทยจัดงาน BOT SYMPOSIUM 2025 ภายใต้หัวข้อ Towards Safer and More Inclusive Digital Finance เปิดเวทีแลกเปลี่ยนแนวทางป้องกันภัยการเงินในโลกดิจิทัล ซึ่งกำลังทวีความรุนแรงและซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ โดยเชิญผู้แทนจากธนาคารกลางและหน่วยงานกำกับดูแลทางการเงินในภูมิภาคเอเชียมาร่วมเสวนา ได้แก่ แนนซี เชา (Nancy Chau) จาก Hong Kong Monetary Authority, เวินฮัว ชิว (Wenhua Chew) จาก Monetary Authority of Singapore, นอร์ ฮาลีมาโตน ซาอาดียะห์ อับดุล ฮาลีม (Nor Halimaton Sa’adiah Abdul Halim) จาก Bank Negara Malaysia และ นางสาวอรมนต์ จันทพันธ์ ผู้อำนวยการ ธปท.

เวทีนี้สะท้อนให้เห็นว่า “ภัยการเงินดิจิทัล” กลายเป็นความท้าทายระดับภูมิภาคที่ต้องรับมืออย่างจริงจัง ไม่เพียงเพราะสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ แต่ยังบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนต่อสถาบันการเงินและหน่วยงานรัฐ หากไม่เร่งสร้างภูมิคุ้มกัน อาจลุกลามจนกลายเป็นปัญหาสังคมในวงกว้าง

แนนซี เชา จาก Hong Kong Monetary Authority เปิดเผยว่าระบบการเงินเผชิญแรงกดดันจากการโจมตีรูปแบบใหม่ๆ ไม่ต่างจากสงครามแข่งอาวุธทางไซเบอร์ หน่วยงานกำกับต้องเร่งยกระดับ “ระบบนิเวศ” ที่ผสานการตรวจจับ การแทรกแซง และการกู้คืนเงิน โดยมีการปรับกฎหมายเพื่อเอื้อให้ธนาคารสามารถแชร์ข้อมูลลูกค้าระหว่างกันได้ ผ่านแพลตฟอร์ม Bank Information Sharing ซึ่งช่วยเสริมการสกัดเส้นทางการเงินของมิจฉาชีพ และยังมีการนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้ตรวจสอบธุรกรรมที่น่าสงสัย ตลอดจนรณรงค์สร้างการรับรู้ในทุกกลุ่ม ตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงผู้สูงอายุ

ด้าน เวินฮัว ชิว จาก Monetary Authority of Singapore รายงานว่าสถานการณ์สแกมยังคงรุนแรง โดยเฉพาะ “การหลอกโอนเงินโดยสมัครใจ” ที่ผู้เสียหายถูกล่อลวงให้โอนเงินเอง ครึ่งปีแรกของ 2568 มีจำนวนคดีเพิ่มขึ้นเกือบ 200% มูลค่าความเสียหายกว่า 126 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์

รัฐบาลสิงคโปร์จึงเน้นมาตรการแบบบูรณาการ ตั้งแต่การป้องกัน ตรวจจับ บังคับใช้กฎหมาย การติดตามกู้เงินคืน ไปจนถึงการสร้างความตระหนักรู้ในสังคม พร้อมย้ำว่า “ความสะดวก” ของระบบชำระเงินดิจิทัลต้องเดินคู่กับ “ความปลอดภัย” แม้ประชาชนจะต้องเผชิญกับความล่าช้าเล็กน้อยในการทำธุรกรรม แต่ก็เพื่อคุ้มครองจากความเสี่ยงที่อาจร้ายแรงกว่า

ด้าน นอร์ ฮาลีมาโตน ซาอาดียะห์ อับดุล ฮาลีม จาก Bank Negara Malaysia เผชิญปัญหาที่คล้ายคลึงกับสิงคโปร์ โดย 95% ของการฉ้อโกงออนไลน์เป็นธุรกรรมที่ผู้เสียหายกดยืนยันเอง เช่น ฟิชชิ่งและมัลแวร์ ทางการมาเลเซียจึงใช้มาตรการหลายด้าน ทั้งการยกระดับระบบยืนยันตัวตนจาก SMS OTP ไปสู่ระบบที่แข็งแรงขึ้น การกำหนดช่วง “Cooling-off Period” ให้ผู้โอนเงินมีเวลาทบทวนก่อนกดยืนยันธุรกรรม และการใช้กลไก “Kill Switch” สำหรับอายัดบัญชีฉุกเฉิน

นอกจากนี้ยังผลักดันแนวคิด “ความรับผิดชอบร่วม” ระหว่างธนาคาร บริษัทโทรคมนาคม แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย และประชาชน โดยหากมีความผิดพลาดที่ธนาคารไม่ยับยั้งได้ทัน ธนาคารต้องร่วมรับผิดชอบกับลูกค้าเพื่อลดความสูญเสีย

ขณะที่ นางสาวอรมนต์ จันทพันธ์ ผู้อำนวยการ ธปท. ชี้ว่าการป้องกันและตรวจจับเป็นเพียงครึ่งหนึ่งของคำตอบ สิ่งสำคัญที่สุดคือการสร้าง “ภูมิคุ้มกัน” ให้ประชาชน ทั้งในระดับบุคคล สังคม และระบบ โดยบังคับให้ธนาคารต้องส่งสารเตือนและให้ความรู้แก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง รวมถึงบรรจุหลักสูตรการเงินดิจิทัลในระบบการศึกษา และทำงานร่วมกับอินฟลูเอนเซอร์บนโซเชียลมีเดียเพื่อเข้าถึงผู้คนในวงกว้าง อีกทั้งยังออกกฎหมายใหม่ที่เปิดทางให้เกิด “ศูนย์กลางข้อมูลภัยการเงิน” เชื่อมโยงข้อมูลจากธนาคาร โทรคมนาคม และแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อปิดช่องโหว่การแชร์ข้อมูลระหว่างภาคส่วน

สาระสำคัญจากการเสวนาชี้ตรงกันว่า ภัยการเงินดิจิทัลไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการทำงานขององค์กรใดองค์กรหนึ่ง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือทั้งระบบ ตั้งแต่ภาครัฐ ภาคการเงิน ภาคเทคโนโลยี ไปจนถึงผู้ใช้บริการเอง ที่ต้องมีสติ รอบคอบ และไม่หลงเชื่อกลโกงที่ซับซ้อนขึ้นทุกวัน ข้อสรุปสำคัญคือ “การป้องกันคือเกราะที่ดีที่สุด” เพราะเมื่อภัยการเงินพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง สังคมก็ต้องพร้อมรับมืออย่างรอบด้านและไม่ปล่อยให้มิจฉาชีพมีที่ยืนในระบบเศรษฐกิจดิจิทัล