นางสาวอารีรัตน์ มุราชัย นักวิเคราะห์ บริษัท จีแคป จำกัด หรือ GCAP GOLD เปิดเผยว่า ราคาทองคำในระยะสั้นยังคงมีสัญญาณเชิงบวก แม้ว่าจะมีความผันผวนต่อเนื่องตลอดสัปดาห์ เป็นผลมาจากกรณีที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เสนอให้มีการเรียกเก็บภาษีศุลกากรในอัตรา 50% ต่อสินค้านำเข้าจากสหภาพยุโรป
โดยเดิมกำหนดให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน แต่ล่าสุดมีการเลื่อนออกไปเป็นวันที่ 9 กรกฎาคม พร้อมทั้งยังระบุให้บริษัท Apple Inc. จะต้องชำระภาษีศุลกากรในอัตรา 25% หรือมากกว่านั้น สำหรับ iPhone ที่ผลิตนอกสหรัฐฯ ซึ่งประเด็นด้านภาษีเหล่านี้จึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
ขณะเดียวกัน ยังมีประเด็นความเสี่ยงในตลาดพันธบัตรของสหรัฐฯ ที่ยังคงต้องจับตา โดยล่าสุดบริษัทการเงินยักษ์ใหญ่ในวอลสตรีทได้ออกมาเตือนถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในตลาดตราสารหนี้ โดยเฉพาะตราสารหนี้ประเภท Junk Bond ซึ่งต้นทุนในการประกันความเสี่ยง (Credit Default Swap) ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์นี้อาจเป็นอีกหนึ่งแรงสนับสนุนราคาทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำอาจเผชิญแรงกดดันระยะสั้นจากปัจจัยเศรษฐกิจ โดยเฉพาะข้อมูลจากรายงานการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed Minutes), ตัวเลข GDP ไตรมาสล่าสุดซึ่งคาดว่าจะทรงตัว และดัชนีราคาการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ที่คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นจาก 0.0% เป็น 0.1% หากข้อมูลออกมาตามคาด อาจกดดันราคาทองคำชั่วคราว
จากปัจจัยดังกล่าวในข้างต้น ฝ่ายวิเคราะห์จึงแนะนำกลยุทธ์การลงทุนโดยประเมินว่าราคาทองคำในระยะสั้นยังคงมีแนวโน้มเป็นบวก โดยหากราคาทองคำในสัปดาห์นี้อ่อนตัวลงแต่ยังสามารถยืนเหนือระดับ 3,280 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือเทียบราคาทองคำไทย ประมาณ 50,800 บาท ก็ยังมีโอกาสเห็นราคาทองคำปรับตัวขึ้น
โดยแนวต้านสำคัญอยู่ที่ 3,395 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งหากราคาสามารถทะลุและยืนเหนือระดับดังกล่าวได้อย่างมั่นคง จะถือเป็นการหลุดกรอบ Sideway ในกราฟรายสัปดาห์อย่างชัดเจน ซึ่งส่งผลให้ราคาทองคำมีโอกาสปรับขึ้นต่อไป และมีแนวโน้มที่ราคาทองคำจะปรับขึ้นต่อ เพื่อทดสอบแนวต้านถัดไปที่ระดับ 3,415 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และ 3,450 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือคิดเป็นราคาทองคำไทยประมาณ 52,500 – 53,000 บาท