Negative Income Tax: นวัตกรรมสวัสดิการรูปแบบใหม่ ตรงเป้า เข้าถึงทุกคน

21 พ.ค. 2568 | 23:45 น.
อัปเดตล่าสุด :21 พ.ค. 2568 | 23:51 น.

ในยุคที่ความเหลื่อมล้ำทางรายได้กลายเป็นปัญหาสำคัญของสังคมไทย กระทรวงการคลังกำลังเดินหน้าปฏิวัติระบบสวัสดิการของประเทศด้วยแนวคิด "Negative Income Tax" หรือ "ภาษีเงินได้ติดลบ" นวัตกรรมทางการคลังที่จะเปลี่ยนโฉมการจัดสรรสวัสดิการให้มีประสิทธิภาพ เฉพาะเจาะจง และครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

จากความฝัน 56 ปี สู่ความเป็นจริงด้วยพลัง Data Lake

นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า แนวคิด Negative Income Tax ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่อยู่ในความคิดของนักเศรษฐศาสตร์มานานกว่า 56 ปีแล้ว สิ่งที่ทำให้แนวคิดนี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริงในอดีตคือการขาดฐานข้อมูลที่ครบถ้วนและเชื่อมโยงกัน

"วันนี้ข้อมูลที่พร้อมจะทำ Negative Income Tax อยู่ใน Data Lake ของกระทรวงการคลัง" นายลวรณกล่าว ชี้ให้เห็นว่าการสร้างคลังข้อมูลขนาดใหญ่ (Data Lake) ของกระทรวงเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้นโยบายนี้เป็นไปได้ในทางปฏิบัติ

 

เข้าใจหลักการ Negative Income Tax

ภาษีเงินได้ติดลบเป็นแนวคิดที่ผสมผสานระบบภาษีและสวัสดิการเข้าด้วยกัน โดยมีหลักการพื้นฐานคือ:

  1. ผู้มีรายได้สูง: ยังคงเสียภาษีตามอัตราปกติ
  2. ผู้มีรายได้ปานกลาง: เสียภาษีในอัตราที่เหมาะสมกับระดับรายได้
  3. ผู้มีรายได้น้อย: หากรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด จะได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐ (ภาษีติดลบ)

ระบบนี้จะทำให้การจัดสรรสวัสดิการมีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น เงินช่วยเหลือจะถูกจ่ายให้กับผู้ที่มีรายได้ไม่เพียงพอตามเกณฑ์ที่ได้กำหนดไว้ โดยปริมาณความช่วยเหลือจะลดหลั่นตามระดับรายได้

 

Negative Income Tax: นวัตกรรมสวัสดิการรูปแบบใหม่ ตรงเป้า เข้าถึงทุกคน

ประโยชน์ที่เหนือกว่าระบบสวัสดิการแบบเดิม

การนำ Negative Income Tax มาใช้จะก่อให้เกิดประโยชน์หลายประการ:

  • ตรงเป้า ลดการรั่วไหล: เงินช่วยเหลือจะไปถึงผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือจริงๆ ไม่กระจายไปยังผู้ที่ไม่จำเป็น
  • ลดความซ้ำซ้อน: บูรณาการสวัสดิการหลายรูปแบบเข้าด้วยกัน ลดต้นทุนการบริหารจัดการ
  • มีความยุติธรรม: ผู้มีรายได้น้อยจะได้รับความช่วยเหลือมากกว่า และความช่วยเหลือจะค่อยๆ ลดลงเมื่อรายได้เพิ่มขึ้น
  • ลดปัญหาการพึ่งพาสวัสดิการ: ไม่ทำให้ผู้รับสวัสดิการลังเลที่จะทำงานเพิ่ม เนื่องจากรายได้รวมจะเพิ่มขึ้นเสมอเมื่อทำงานมากขึ้น
  • ลดขั้นตอนการขอรับสวัสดิการ: ระบบทำงานอัตโนมัติผ่านการเชื่อมโยงข้อมูลรายได้

 

จากทฤษฎีสู่การปฏิบัติด้วยข้อมูลที่ครอบคลุม

กระทรวงการคลังมีฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่รู้จักคนไทยมากถึง 60 ล้านคน ทำให้สามารถประเมินสถานะทางการเงินของประชาชนได้อย่างแม่นยำ ผ่านข้อมูลหลากหลายมิติ เช่น:

  • ข้อมูลการเสียภาษี
  • ข้อมูลการรับสวัสดิการต่างๆ
  • ข้อมูลด้านสินเชื่อและเงินฝาก
  • ข้อมูลรายได้จากแหล่งต่างๆ

ด้วยฐานข้อมูลที่ครอบคลุมนี้ ทำให้การคัดกรองผู้ที่ควรได้รับความช่วยเหลือทำได้อย่างมีประสิทธิภาพและเที่ยงตรงมากขึ้น

แผนการนำร่องและการขยายผล

กระทรวงการคลังมีทีมงานที่กำลังพัฒนาระบบ Negative Income Tax อย่างเข้มข้น โดยวางแผนการดำเนินงานเป็นขั้นเป็นตอน:

  1. ระยะทดลอง: เริ่มทดลองใช้กับกลุ่มเป้าหมายบางส่วน เพื่อประเมินประสิทธิภาพและปรับแก้ระบบ
  2. ระยะขยายผล: ขยายการใช้งานให้ครอบคลุมกลุ่มผู้มีรายได้น้อยทั่วประเทศ
  3. ระยะบูรณาการ: เชื่อมโยงกับระบบสวัสดิการอื่นๆ เพื่อให้เกิดระบบสวัสดิการที่สมบูรณ์

 

พร้อมรองรับความท้าทายใหม่

Negative Income Tax ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการรับมือกับความท้าทายด้านงบประมาณในอนาคต โดยเฉพาะเมื่อประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ ซึ่งจะมีผู้เสียภาษีน้อยลงแต่ผู้ต้องการสวัสดิการมากขึ้น

ระบบนี้จะช่วยให้การจัดสรรงบประมาณด้านสวัสดิการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เงินแต่ละบาทของภาษีจะถูกใช้อย่างคุ้มค่า และช่วยเหลือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างแท้จริง

 

กลไกแห่งความเป็นธรรมในสังคมไทย

"การบริหารจัดการงบประมาณจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะเรารู้จักคนไทยมากขึ้น มีรายได้เพียงพอก็เสียภาษีครับ มีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ รัฐบาลจำเป็นต้องไปเติมเต็มคุณภาพชีวิตของเขา" นายลวรณกล่าว

Negative Income Tax ไม่ใช่เพียงเครื่องมือทางการคลัง แต่เป็นกลไกที่จะช่วยสร้างสังคมที่เป็นธรรมและยั่งยืน สะท้อนวิสัยทัศน์ของกระทรวงการคลังในยุคดิจิทัลที่พร้อมนำเทคโนโลยีและข้อมูลมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนทุกคน

นับเป็นอีกก้าวสำคัญของกระทรวงการคลังที่กำลังเปลี่ยนแปลงระบบการคลังของประเทศให้ทันสมัย มีประสิทธิภาพ และสามารถรองรับความท้าทายในอนาคตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน