นายธนวัฒน์ ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKPower เปิดเผยว่า แผนงานปี 68-73 ตั้งเป้าขยายกำลังการผลิตจากโครงการไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ทั้งในรูปแบบ Private PPA และ ยื่นประมูลโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนเฟส 2 จากภาครัฐ ควบคู่ไปกับการขายใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน (RECs)
ด้านโครงการไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ ที่ร่วมกับบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ในเฟสแรก จะทยอยแล้วก่อสร้างแล้วเสร็จและจำหน่ายไฟฟ้าให้กับ BEM ได้ครบทุกโครงการในช่วงไตรมาส 2 ปี 2568
ขณะที่โครงการไฟฟ้าพลังน้ำ หลวงพระบาง มีความคืบหน้าการก่อสร้างสิ้นปี 2567 ที่ 42% และคาดว่าจะสามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ตามแผนในปี 2573
ทั้งนี้ ล่าสุดบริษัทได้รับการปรับเพิ่มอันดับเครดิตตราสารหนี้ (Issue Rating) จาก BBB+ เป็น A- จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด (ทริสเรทติ้ง) เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2568 รวมถึงคงอันดับเครดิตองค์กร (Company Rating) ที่ระดับ A- และแนวโน้มอันดับเครดิต คงที่
โดยอันดับเครดิตที่ปรับสูงขึ้นดังกล่าว สะท้อนถึงโครงสร้างหนี้ที่แข็งแกร่งขึ้น จากการบริหารหนี้สินอย่างมีประสิทธิภาพ การทยอยลดภาระหนี้ของบริษัทย่อย และการรักษาระดับความสามารถในการชำระหนี้ให้อยู่ในเกณฑ์แข็งแกร่ง ส่งผลให้ภาพรวมทางการเงินของบริษัทมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น
สำหรับปัจจัยของการปรับเพิ่มอันดับเครดิตหุ้นกู้มาจากการทยอยลดลงของหนี้สินระยะยาวของบริษัทย่อย ได้แก่ บริษัท ไฟฟ้าน้ำงึม 2 จำกัด (NN2) และ บริษัท บางปะอิน โคเจนเนอเรชั่น จำกัด (BIC) ส่งผลให้ระดับความเสี่ยงเรื่องการด้อยสิทธิในการเรียกร้องชำระหนี้ของบริษัทเทียบกับบริษัทย่อยลดลง
นอกจากนี้ บริษัทยังคงมีกำไรก่อนค่าใช้จ่ายทางการเงิน ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ควบคู่ไปกับการบริหารหนี้สินอย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถรักษาระดับความสามารถในการชำระหนี้ให้อยู่ในเกณฑ์ที่แข็งแกร่งท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ผันผวน
อีกทั้งทริสเรทติ้งยังคงเชื่อมั่นในความสม่ำเสมอของกระแสเงินสดของบริษัทในระดับสูงจากการมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รวมถึงการมีพอร์ตโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่มีศักยภาพ ซึ่งช่วยสนับสนุนการดำเนินงานของบริษัทให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว
ด้านฐานะการเงินของบริษัทมีโครงสร้างทางการเงินวันที่ 31 ธันวาคม 2567 บริษัทมีอัตราส่วนสภาพคล่องอยู่ที่ 1.86 เท่า เพิ่มขึ้น 0.18 เท่าจากปีก่อน ขณะที่อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยจ่ายสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นรวมยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 0.52 เท่า