ครึ่งปี ธนาคารเกียรตินาคินเติบโตไม่ได้ตามคาด แต่กำไรยังเป็นไปตามเป้า ซีอีโอ‘อภินันท์ เกลียวปฏินนท์’

12 มิ.ย. 2559 | 10:00 น.
การปรับโครงสร้างการบริหารของ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) (บมจ.) (KKP) เมื่อต้นเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา โดยให้รวมศูนย์การบริหารมาที่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ คนเดียวกันของทั้งกลุ่ม ทำให้จากนี้ ทั้ง KKP, บมจ.ทุนภัทร และบมจ. หลักทรัพย์ ภัทร ต้องมาอยู่ภายใต้การกำกับโดยอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ KKP
ที่เพิ่งรับไม้ต่อซีอีโอ จากนายบรรยง พงษ์พานิช เมื่อต้น

นายอภินันท์ ได้ให้สัมภาษณ์ "ฐานเศรษฐกิจ" ดังนี้....

 ทำไมต้องปรับโครงสร้างรวมศูนย์

เหตุผลก็เพื่อให้การประสานงาน การสื่อสาร เรื่องกำหนดทิศทางกระชับ และตรงขึ้น อะไรที่เราเน้น ก็จะได้รับการตัดสินใจที่เร็วและทันต่อเหตุการณ์ ยกตัวอย่าง ถ้าเป็นกลุ่มธนาคาร เดิมต้องรายงานมาถึงกรรมการผู้จัดการใหญ่ ซึ่งเป็นผม แต่หากเป็นตลาดทุน ก็ต้องรายงานถึงกรรมการผู้จัดการอีกท่านหนึ่ง แต่กว่าจะรายงานมาถึงผม ในฐานะเป็นซีอีโอของตลาดทุนอยู่ด้วย ก็จะต้องอ้อมไป ดังนั้นการปรับโครงสร้างบริหารครั้งนี้ จึงเป็นรวมศูนย์กันถึงระดับธุรกิจ และรายงานขึ้นตรงมาที่ผมทั้งกลุ่ม โดยไม่สนว่าอยู่องค์กรไหน

และความจริงแล้ว หลังการควบกิจการ ( Merge :ธนาคารเกียรตินาคิน และบมจ.ทุนภัทร) มาพักหนึ่ง การรวมศูนย์ก็มีขึ้นเรื่อย ๆอยู่แล้ว แต่ไม่ได้แปลว่าจะเป็นการรวบอำนาจ อย่างเช่นงานด้านบริหารความเสี่ยง , งานที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบที่อยู่ในหลายองค์กร ก็มีการรวมศูนย์ตั้งแต่เกิดการควบรวม

แผนธุรกิจครึ่งหลัง

หลังจากที่ตัวเลขไตรมาสแรกออกมาแล้ว เราจะทบทวนปรับประมาณการธุรกิจของธนาคารอีกครั้งในช่วงกลางปี ( ต้นปี KKP ตั้งเป้าเติบโตสินเชื่อปี 59 ที่ 5-7 % ) โดยในแง่การเติบโตอาจจะไม่ได้ตามเป้า เพราะสมมุติฐานเดิม เราคิดว่าเศรษฐกิจไทย หรือบางกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาด จะฟื้นตัวเร็วกว่านี้ แต่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ทั้งเรื่องการลงทุน การขยายธุรกิจ ส่งผลต่อการขยายตัวของสินเชื่อ หรือสมมติฐานการเติบโตในเรื่อง cost of fund ที่เป็นต้นทุนของธนาคาร ก็คงต้องมาทบทวนทั้งในเรื่องเศรษฐกิจ และปัจจัยของธนาคารเอง

อย่างไรก็ดี ตัวที่ยังเป็นไปตามเป้าหมายก็คือ กำไร และผลประกอบการซึ่งยังดีกว่าเป้าเล็กน้อย ดังนั้น bottom line คงไม่ต้องเปลี่ยนอะไร

4 เดือนแรกสินเชื่อหด ?

อันนี้แล้วแต่เซ็กเมนต์ อย่างสินเชื่อเดิมที่ KKPไม่ได้ทำ (ก่อนควบรวมกับ บมจ.ทุนภัทร) ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อบรรษัท ( corporate lendind) หรือสินเชื่อภาคธุรกิจขนาดใหญ่ ,สินเชื่อลอมบาร์ด ที่ใช้เงินฝากที่ลูกค้ามีอยู่มาเป็นหลักประกันเงินกู้เพื่อไปลงทุน รวมถึงในกลุ่มงานลูกค้าบุคคล( Private Client Group )สายธนบดีธนกิจ หรือไพรเวตแบงกิ้ง เหล่านี้ยังเติบโตค่อนข้างมาก

อย่างสินเชื่อบรรษัทเราตั้ง เป้าปีนี้ที่ 3 หมื่นล้านบาท ก็สามารถปล่อยกู้ได้ในไตรมาสแรกที่ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งก็เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ เพราะเริ่มจากฐานที่ต่ำ และตัวเลขบางตัวในไตรมาสแรก ก็อาจมองไม่เห็น เช่นที่ KKP ปล่อยกู้ให้ BJC ( บมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ ) ซื้อกิจการบิ๊กซี วงเงินกว่า 5 พันล้านบาท ที่จะปรากฏในไตรมาส 2 หรือการออกหนังสือค้ำประกัน ( LG) ให้กับค่ายทรู ก็ไม่ได้เป็นสินเชื่อ แต่ถือว่าเราได้อนุมัติ credit line แล้ว

"ดูจากไตรมาส 2 ก็คิดว่าการเติบโตของสินเชื่อก็ยังมี แต่อาจจะยังไม่สูงอย่างที่เป้าหมายที่ตั้งไว้ (สินเชื่อ KKP ไตรมาสแรกติดลบ 1.2%) เช่นสินเชื่อเช่าซื้อก็ยังไม่ดี โดยสินเชื่อรถใหม่ยังไม่ฟื้นดี แต่รถเก่ายังไปได้ เรากะว่าสินเชื่อเช่าซื้อจะฟื้นตัวมากกว่านี้ แต่ทั้งนี้ในแง่ธุรกิจผมกลับไม่ได้ห่วงอะไร ถึงแม้เราจะโตไม่ได้ตามเป้า ซึ่งผมย้ำกับนักวิเคราะห์และสื่อมวลชนเสมอ ว่าเราตั้งเป้าไว้เพื่อทำงาน aggressive (รุก )แต่ถึงเวลาไม่ตามเป้า เรารู้เอง ว่าใครทำงานหรือไม่ทำงานเต็มที่

 ตั้งเป้าเช่าซื้อหดตัว

สัดส่วนสินเชื่อเช่าซื้อโดยรวมของ KKP ที่ลดลง เป็นการลดโดยปริยาย โดยเราไม่มีนโยบายที่จะชะลอการปล่อยสินเชื่อ ทั้งนี้เพราะหลังการควบรวมกิจการ เรามาทำธุรกิจหันมาปล่อยสินเชื่อในเซ็กเมนท์ใหม่ ๆ เช่นสินเชื่อ ลอมบาร์ด, หรือสินเชื่อบรรษัทจากฐานเดิมที่เป็น 0% นอกจากนี้ยังมีสินเชื่อบุคคล คอนซูเมอร์โลน,สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์,สินเชื่อบ้านพวกนี้อาจโตเร็วกว่าเช่าซื้อ ๆแต่เมื่อสินเชื่อกลุ่มพวกนี้ขยายตัวสูงขึ้น สัดส่วนสินเชื่อประเภทอื่น ๆรวมทั้งเช่าซื้อก็ลดโดยปริยาย ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องดี เพราะเป็นการกระจายการจุกตัวของธุรกิจ

สัดส่วนเช่าซื้อปัจจุบันของ KKP อยู่ที่ 60% ต้น ๆลดลงจากช่วงที่ก่อนควบกิจการซึ่งอยู่ที่ 75% นอกจากนี้เช่าซื้อที่ลด ก็ยังเป็นทั้งอุตสาหกรรม อาทิธนาคารกรุงศรีฯ, ธนชาต และ ทิสโก้ จากที่โตปีละ 3 % แต่ตอนนี้ไม่ใช่

 มองเศรษฐกิจปีนี้โตต่ำกว่า 3%

ผมคิดว่าทุกคนมองตรงกันว่าเศรษฐกิจปีนี้จะโตต่ำกว่า 3% แต่ว่าธุรกิจของธนาคารเราแบ่งอย่างนี้ คือ ธุรกิจเดิมที่เราเป็นผู้เล่นหลักในอุตสาหกรรมอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเช่าซื้อ สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ ในแง่สินเชื่อคงโตตามสภาวะเศรษฐกิจหรือมากกว่าเล็กน้อย เช่นจีดีพี 3% สินเชื่อเราถ้าเป็นไปได้ก็อาจโต 5% ด้ แต่ธุรกิจที่เราไม่เคยทำเลย หรือเดิมทำน้อยมาก ไม่ว่าจะเป็น สินเชื่อเพื่อการบริโภค ,สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ,สินเชื่อบรรษัท , ลอมบาร์ด เรากลับเติบโตมากกว่าคนอื่น

"คนชอบไปดูการเติบโตของสินเชื่อ แต่ความจริงแล้วกลุ่ม KKP มีรายได้ที่ไม่ได้มาจากสินเชื่อ, ไม่ได้มาจากดอกเบี้ยเงินกู้ หรือมีรายได้จากการค่าธรรมเนียม สัดส่วนถึง 40% ขณะที่สัดส่วนรายได้จากดอกเบี้ยอยู่ที่60% ทั้งนี้รายได้จากค่าฟี ก็มาจากกลุ่มธุรกิจไพรเวทแบงก์ ซึ่งตอนควบรวมกิจการเรามีทรัพย์สินทางการเงินภายใต้การบริหาร ( AUM) ให้กับฐานลูกค้ากลุ่มเวลท์ อยู่แค่ 1.8 แสนล้านบาท ปัจจุบันมีถึง 3.4 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นตัวทำให้รายได้จากค่าธรรมเนียมหรือค่า fee.ให้เราสูงขึ้น หรือรายได้จากการลงทุน ( Investment Banking ) การเทรดดิ้ง เป็นต้น โดยก่อนควบรวม การลงทุนอยู่ประมาณสัก 6 พันล้านบาท ตอนนี้มีประมาณ 2 หมื่นล้านบาท พวกนี้จะโตเร็ว

ดังนั้นจะเห็นว่าสินเชื่อเราหดตัวเป็น สิบ ๆเปอร์เซ็นต์ แต่ทำไมรายได้เราเพิ่มขึ้น เพราะการทำธุรกิจเราทำเป็นกลุ่มธุรกิจการเงินแล้ว ไม่ใช่เป็นธนาคารพาณิชย์อีกต่อไปที่รายได้เกือบทั้ง 100% มาจากการปล่อยกู้

 โครงการลงทุนของรัฐ KKP มีส่วนสนับสนุน

คือเรายังไม่ได้เริ่มเลย ความจริงถ้ารัฐเริ่มทำแล้ว หรือมีโครงการร่วมทุนเอกชน" PPP" เปิดให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุน ส่วนใหญ่เราก็จะไปเกี่ยวด้วยอยู่แล้ว ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เช่น การเพิ่มทุน ก็มี Investment banking : IB เราเข้าไปเกี่ยว หรือปล่อยกู้ ออกพันธบัตร เป็นที่ปรึกษาทางการเงินในการประมูลอยู่แล้ว ยกตัวอย่างการแปรรูปฯรัฐวิสาหกิจหลายอันที่ผ่านมา เราก็เป็นที่ปรึกษา หรือการเสนอขายหุ้นใหม่ ( ไอพีโอ ) เป็นต้น

 โจทย์ท้าทายครึ่งหลัง

คงเป็นเรื่องเศรษฐกิจไทยและโลก ๆ ที่ยังน่าห่วง เพราะไทยเราก็ต้องพึ่งพาโลกไม่ใช้น้อย และขณะนี้ ไม่ว่าจะสำนักไหนก็ไม่มีใครคาดการณ์ได้ถูกแม่น อีกอย่างการดำเนินนโยบายในระดับประเทศ ระดับภูมิภาคและระดับโลก ไม่ว่าประเทศใดประเทศหนึ่งทำอะไร ประเทศอื่นๆก็โดนกระทบ เช่นในเรื่องของดอกเบี้ยติดลบ เรื่องคิวอี ไม่มีใครคาดการณ์เรื่องนี้ถูก ท้ายสุดเราก็ทำตัวให้มีเสถียรภาพ

"ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ไหน เราต้องฉกฉวยโอกาสเหล่านั้นให้มันดีขึ้น ธุรกิจจะมีทั้ง flow และ deal ถ้าเป็น Flow เราอาจทำอะไรกับมันไม่ได้มากหรอก แต่ถ้าเป็น deal อย่างโครงการภาครัฐ ถ้าเราเมกชัวร์ถูกที่ถูกทาง เอกชนจะขยาย จะเข้าไปซื้อกิจการต่างประเทศ พวกนั้นเป็นเรื่องที่ต้องเล็งให้แม่น ๆ และอาชีพของอินเวสท์แบงก์ คือต้องหาแสวงโอกาสที่ดี และเล็งแม่น ๆ และต้องเมกชัวร์ว่าไม่พลาด ผมว่าครึ่งหลังทุกคนก็อย่างนี้รู้ว่าความเสี่ยงสูง มีความผันผวน และคาดเดายาก"

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,164 วันที่ 9 - 11 มิถุนายน พ.ศ. 2559